Drug name: ciprofloxacin
Description: Ciprofloxacin (ไซโปรฟลอกซาซิน) เป็นยาปฏิชีวนะที่ช่วยรักษาหรือป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ต่อมลูกหมากติดเชื้อ โรคหนองใน ปอมบวม โรคแอนแทรกซ์ รวมไปถึงการติดเชื้อที่ผิวหนัง กระดูก ข้อต่อ และช่องท้อง โดยกลไกการออกฤทธิ์ของยาจะเข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แต่ไม่มีผลต่อการรักษาเชื้อไวรัส นอกจากนี้ ยา Ciprofloxacin อาจนำไปใช้รักษาโรคหรือภาวะผิดปกติชนิดอื่นตามดุลยพินิจของแพทย์ และการใช้ยาชนิดนี้ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะในเด็ก เพราะมีความเสี่ยงจากอันตรายของการใช้ยาได้สูง เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา Ciprofloxacin ผู้ใช้ยาควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ ปริมาณการใช้ยา Ciprofloxacin จะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย จุดประสงค์ของการรักษา และดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยาดังนี้ ผู้ใหญ่ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาชนิดฉีด โดยค่อย ๆ ให้ยาผ่านทางหลอดเลือดดำในปริมาณ 400 มิลลิกรัม วันละ 2–3 ครั้ง ครั้งละ 60 นาที เป็นระยะเวลา 7–14 วัน หรือหากเป็นยารับประทาน แพทย์จะให้รับประทานยาในปริมาณ 500–750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 7–14 วัน ผู้ใหญ่ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาชนิดฉีด โดยค่อย ๆ ให้ยาผ่านทางหลอดเลือดดำในปริมาณ 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 60 นาที เป็นระยะเวลา 28 วัน หรือนานกว่านั้น แต่มักจะไม่เกิน 3 เดือน ส่วนกรณีที่ให้ยารับประทาน แพทย์จะให้รับประทานยาในปริมาณ 750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 7–14 วัน หรือนานกว่านั้น แต่จะไม่เกิน 3 เดือน เด็ก อายุ 6 เดือนขึ้นไป ให้ใช้ยาหยอดหูที่มีความเข้มข้นของยา 6% ครั้งละ 0.2 มิลลิลิตร วันละ 1 ครั้ง และอายุ 1 ปีขึ้นไป ให้ใช้ยาหยอดหูที่มีความเข้มข้นของยา 0.2% ครั้งละ 0.25 มิลลิลิตร วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 7 วัน เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไปและผู้ใหญ่ ในกรณีที่ผู้ป่วยกำลังรับการผ่าตัดเพื่อระบายของเหลวในหู แพทย์จะให้ใช้ยาชนิดหยอดหูที่มีความเข้มข้นของยาที่ 6% โดยหยอดครั้งละ 0.1 มิลลิลิตรที่หูชั้นกลางเพียงครั้งเดียว จากนั้นแพทย์จะทำการรักษาด้วยวิธีดูดของเหลวออกจากหูชั้นกลาง ผู้ใหญ่ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาชนิดฉีด โดยค่อย ๆ ให้ยาผ่านทางหลอดเลือดดำในปริมาณ 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 60 นาที โดยระยะเวลาการให้ยาจะขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละคน แต่มักจะไม่เกิน 3 เดือน ส่วนกรณียารับประทาน แพทย์จะให้รับประทานยาในปริมาณ 500–750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง โดยระยะเวลาการรับประทานยาสูงสุดจะไม่เกิน 3 เดือน ผู้ใหญ่ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาชนิดฉีด โดยค่อย ๆ ให้ยาผ่านทางหลอดเลือดดำในปริมาณ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 60 นาที เป็นระยะเวลา 60 วัน นับจากวันที่ได้รับเชื้อ หรือให้ยาชนิดรับประทาน ในปริมาณ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 60 วัน นับจากวันที่ได้รับเชื้อ เด็ก แพทย์อาจพิจารณาให้ยาชนิดฉีด โดยค่อย ๆ ให้ยาผ่านทางหลอดเลือดดำในปริมาณ 10–15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่จะไม่เกิน 400 มิลลิกรัม/ครั้ง วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 60 นาที เป็นระยะเวลา 60 วัน นับจากวันที่ได้รับเชื้อ หรือให้ยาชนิดรับประทานในปริมาณ 10–15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่จะไม่เกิน 500 มิลลิกรัม/ครั้ง วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 60 นาที เป็นระยะเวลา 60 วัน นับจากวันที่ได้รับเชื้อ ผู้ใหญ่ แพทย์จะให้รับประทานยาในปริมาณ 500–750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หากเป็นต่อมลูกหมากอักเสบชนิดฉับพลัน ระยะเวลาการรับประทานยาจะอยู่ที่ 2–4 สัปดาห์ ส่วนกรณีที่เป็นต่อมลูกหมากอักเสบชนิดเรื้อรัง ระยะเวลาการรับประทานยาจะอยู่ที่ 4–6 สัปดาห์ ผู้ป่วยควรใช้ยา Ciprofloxacin ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด และอ่านฉลากยาอย่างละเอียดก่อนการใช้ หากเป็นยาชนิดเม็ดไม่ควรเคี้ยว หัก หรือแบ่งยาเป็นส่วน ๆ ควรกลืนยาทั้งเม็ด ส่วนยาน้ำควรเขย่าขวดให้ตัวยาผสมเข้ากันดี ตวงยาด้วยช้อนมาตรฐาน โดยสามารถรับประทานได้ทั้งก่อนหรือหลังอาหาร แต่ให้ดื่มน้ำมาก ๆ ในระหว่างวัน เพื่อช่วยให้ตัวยากระจายได้ทั่วร่างกาย หากลืมรับประทานยาตามเวลาที่กำหนด สามารถรับประทานยาได้ทันที แต่หากใกล้ถึงเวลารับประทานยาในรอบต่อไป ให้ข้ามไปรอบถัดไป ไม่ควรเพิ่มปริมาณการรับประทานยาเป็นสองเท่า และหากมีอาการผิดปกติหรือรุนแรงขึ้น ควรรีบพบแพทย์โดยทันที สำหรับยาชนิดหยอดหู ควรล้างมือก่อนใช้ยาทุกครั้ง หลังจากเพิ่งหยอดยาเสร็จให้หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนท่าทางอย่างน้อย 5 นาทีเพื่อป้องกันยาไหลออกมา และควรระวังปากหลอดยาสัมผัสกับสิ่งแปลกปลอม รวมทั้งควรรีบปิดขวดยาทันทีที่ใช้เสร็จเพื่อป้องกันการปนเปื้อน นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะครบปริมาณที่กำหนดแม้ว่าอาการจะดีขึ้น ไม่ควรหยุดยาเองยกเว้นในกรณีที่แพทย์สั่งระงับการใช้ยาเพื่อป้องกันการกลับมาของโรคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และหากใช้ยาครบตามปริมาณที่กำหนดแต่อาการยังไม่ดีขึ้น ควรกลับไปพบแพทย์อีกครั้ง สำหรับการเก็บรักษายา ผู้ป่วยควรเก็บยาให้ห่างมือเด็กและเก็บไว้ที่ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียส หลีกเลี่ยงความชื้นและความร้อน และไม่ควรใช้ยาหยอดหูที่เปิดแล้วใช้ไม่หมดนานเกิน 8 วัน ผู้ใช้ยา Ciprofloxacin ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนหากกำลังใช้ยาชนิดใด ๆ หรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่าง ๆ อยู่ เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะยาต่อไปนี้ การใช้ยา Ciprofloxacin อาจส่งผลให้บางคนเกิดผลข้างเคียงบางอย่างได้ โดยอาการที่มักพบได้ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คันหรือปวดหู และได้ยินเสียงในหู ซึ่งผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากพบอาการเหล่านี้แล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาแล้วรีบไปพบแพทย์ทันที หากพบอาการที่มีความรุนแรง เช่น ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ :ไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin)
เกี่ยวกับยา Ciprofloxacin
กลุ่มยา
ยาปฏิชีวนะกลุ่มควิโนโลน (Quinolones)
ประเภทยา
ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ
รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด
กลุ่มผู้ป่วย
เด็กและผู้ใหญ่
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร
Category C จากการศึกษาในสัตว์พบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาทดลองในมนุษย์และสัตว์ ควรใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่า มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ ดังนั้น ผู้ใช้ยา Ciprofloxacin ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
รูปแบบของยา
ยารับประทาน ยาหยอด ยาฉีด
คำเตือนของการใช้ยา Ciprofloxacin
ปริมาณการใช้ยา Ciprofloxacin
การติดเชื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนล่างและบน ผิวหนัง และเนื้อเยื่ออ่อน
ตัวอย่างการใช้ยา Ciprofloxacin เพื่อรักษาอาการติดเชื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนล่างและบน ผิวหนัง และเนื้อเยื่ออ่อน ได้แก่หูชั้นนอกอักเสบขั้นรุนแรง
ตัวอย่างการใช้ยา Ciprofloxacin เพื่อรักษาภาวะหูชั้นนอกอักเสบขั้นรุนแรง ได้แก่หูชั้นนอกอักเสบฉับพลัน
ตัวอย่างการใช้ยา Ciprofloxacin เพื่อรักษาภาวะหูชั้นนอกอักเสบฉับพลัน ได้แก่
ผู้ใหญ่ ให้หยอดที่มีความเข้มข้นของยา 0.2% ครั้งละ 0.25 มิลลิลิตร วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 7 วัน หากเป็นยาหยอดหูที่มีความเข้มข้นของยา 6% ให้หยอดครั้งละ 0.2 มิลลิลิตร วันละ 1 ครั้ง หูชั้นกลางอักเสบที่มีน้ำขังในหูชั้นกลางทั้งสองข้าง
ตัวอย่างการใช้ยา Ciprofloxacin เพื่อรักษาภาวะหูชั้นกลางอักเสบที่มีน้ำขังในหูชั้นกลางทั้งสองข้าง ได้แก่การติดเชื้อที่กระดูกและข้อต่อ
ตัวอย่างการใช้ยา Ciprofloxacin เพื่อรักษาการติดเชื้อที่กระดูกและข้อต่อ ได้แก่โรคแอนแทรกซ์ทางเดินหายใจ (Inhalational Anthrax)
ตัวอย่างการใช้ยา Ciprofloxacin เพื่อรักษาและป้องกันโรคแอนแทรกซ์ทางเดินหายใจจากเชื้อแบคทีเรียแบซิลลัส แอนทราซิส (Bacillus anthracis) ได้แก่โรคต่อมลูกหมากอักเสบ
ตัวอย่างการใช้ยา Ciprofloxacin เพื่อรักษาโรคต่อมลูกหมากอักเสบ ได้แก่การใช้ยา Ciprofloxacin
ปฏิกิริยาระหว่างยา Ciprofloxacin กับยาอื่น
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Ciprofloxacin