Drug name: voriconazole-โวริโคนาโซล

Description:

Voriconazole (โวริโคนาโซล)

Voriconazole (โวริโคนาโซล)

Share:

Voriconazole (โวริโคนาโซล) เป็นยาต้านเชื้อราที่ใช้รักษาการติดเชื้อราที่รุนแรงในร่างกายและกระแสเลือด โดยจะออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา นอกจากนี้ แพทย์อาจใช้ยานี้เพื่อรักษาการติดเชื้อราในบริเวณอื่นของร่างกายอย่างหลอดอาหาร หรือโรคอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

เกี่ยวกับยา Voriconazole

กลุ่มยา ยาต้านเชื้อราในกลุ่มเอโซล (Azole Antifungals)
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ รักษาการติดเชื้อราขั้นรุนแรง
กลุ่มผู้ป่วย เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยาฉีด ยารับประทาน
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร Category D จากการศึกษาในมนุษย์ พบความเสี่ยงทำให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ จะใช้ก็ต่อเมื่อพิจารณาแล้วว่า ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมารดาและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดต่อทารกในครรภ์ โดยมากมักใช้ในกรณีที่จำเป็นในการช่วยชีวิต หรือใช้รักษาโรคร้ายแรงของมารดา ซึ่งไม่สามารถใช้ยาอื่น ๆ ทดแทนได้ ดังนั้น ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้ที่อยู่ระหว่างให้นมบุตร รวมถึงผู้ที่วางแผนจะมีบุตรควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา Voriconazole

คำเตือนในการใช้ยา Voriconazole

เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

  • แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทุกครั้งหากมีประวัติการแพ้ยาต่าง ๆ โดยเฉพาะยา Voriconazole และยาฆ่าเชื้อราชนิดอื่น อย่างยาฟลูโคนาโซล (Fluconazole) ยาไอทราโคนาโซล (Itraconazole) และยาคีโตโคนาโซล (Ketoconazole)
  • แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทุกครั้งหากกำลังใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร วิตามิน หรือยาต่าง ๆ เช่น ยาเมทาโดน ยาออกซิโคโดน ยาโคลพิโดเกรล ยาวาร์ฟาริน ยาโทลบูตาไมด์ ยาไกลเบนคลาไมด์ ยาไกลพิไซด์ ยาซิมวาสแตติน ยาโลวาสแตติน ยาไมดาโซแลม ยาไตรอาโซแลม ยาวินคริสติน ยา วินบลาสทีน ยาโอเมพราโซล ยาไอบูโปรเฟน หรือยาไดโคลฟีแนค เป็นต้น
  • ไม่ควรใช้ยานี้ร่วมกับยาหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรบางชนิด เช่น ยาซิซาไพรด์ ยาเทอร์เฟนาดีน ยาแอสเทมมีโซล ยาพิโมไซด์ ยาควินิดีน ยาไรแฟมพิซิน ยาไรฟาบิวติน ยาคาร์บามาซีปีน ยาเอฟฟาไวเร็นซ์ ยาริโทนาเวียร์ ยาเออร์โกตามีน ยาไดไฮโดรเออร์โกตามีน ยาไซโลลิมัส ยาทาโครลิมัส ยาไซโคลสปอริน หรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ต เป็นต้น
  • แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากกำลังป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคตับ โรคไต แร่ธาตุบางชนิดในเลือด อย่างโพแทสเซียม แมกนีเซียม หรือแคลเซียมไม่สมดุล มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีปัญหาเกี่ยวกับการย่อยน้ำตาลหรือผลิตภัณฑ์จากนม หรือผู้ที่ตับอ่อนเสี่ยงต่อการอักเสบได้ง่าย อย่างผู้ที่เพิ่งรับการรักษาด้วยการทำคีโมหรือเคมีบำบัด 
  • การใช้ยานี้อาจส่งผลข้างเคียงเกี่ยวกับการมองเห็น ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการขับยานพาหนะ การใช้เครื่องจักร การทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตา หรือการทำกิจกรรมที่ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดหรือการอบผิวแทน หากเลี่ยงไม่ได้ควรทาครีมกันแดดหรือสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เนื่องจากตัวยาอาจส่งผลให้ผิวไวต่อแสงแดด และเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังบางชนิด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อตับ
  • แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากกำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร เนื่องจากยาอาจเป็นอันตรายต่อทารก
  • ไม่ควรใช้ยานี้ในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี

ปริมาณการใช้ยา Voriconazole

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาจะขึ้นอยู่กับช่วงอายุ ชนิดของยา และดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้

โรคติดเชื้อราในร่างกายและกระแสเลือด

ตัวอย่างการใช้ยา Voriconazole เพื่อรักษาโรคติดเชื้อแคนดิดาในกระแสเลือด โรคติดเชื้อแคนดิดาในกล้ามเนื้อชั้นลึก โรคติดเชื้อราแอสเปอร์จิลลัสชนิดลุกลาม โรคติดเชื้อรา Scedosporium และโรคติดเชื้อรา Fusarium

ยาฉีด

เด็กอายุ 2–14 ปี ที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 50 กิโลกรัม แพทย์จะฉีดยา 9 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 12 ชั่วโมง จนครบ 24 ชั่วโมง และปรับปริมาณยาเป็นครั้งละ 8 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 12 ชั่วโมง โดยอัตราการให้ยาสูงสุดไม่เกิน 3 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ชั่วโมง ทั้งนี้ แพทย์อาจเปลี่ยนเป็นยาชนิดรับประทานแทนหากผู้ป่วยสามารถรับประทานยาได้

ผู้ใหญ่ แพทย์จะฉีดยาครั้งละ 6 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 12 ชั่วโมง จนครบ 24 ชั่วโมงจากนั้นฉีดครั้งละ 4 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 12 ชั่วโมง หรือฉีดยาครั้งละ 3–4 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 12 ชั่วโมง สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อแคนดิดาในกระแสเลือดที่ไม่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ผู้ที่ติดเชื้อแคนดิดาในเนื้อเยื่อชั้นลึก หรือผู้ที่ไม่สามารถรับยาในปริมาณมากได้ โดยมีระยะเวลาในการฉีดยาสูงสุดไม่เกิน 6 เดือน และอัตราการให้ยาสูงสุดไม่เกิน 3 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 1–2 ชั่วโมง ทั้งนี้ แพทย์อาจเปลี่ยนเป็นยาชนิดรับประทานแทนหากผู้ป่วยสามารถรับประทานยาได้ 

ยารับประทาน

เด็กอายุ 2–14 ปี ที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 50 กิโลกรัม ให้รับประทานยาครั้งละ 9 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 12 ชั่วโมง โดยปริมาณยาสูงสุดไม่ควรเกินครั้งละ 350 มิลลิกรัม

ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 40 กิโลกรัมขึ้นไป รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม หรือครั้งละ 10 มิลลิลิตรสำหรับยาชนิดน้ำ ทุก 12 ชั่วโมง จนครบ 24 ชั่วโมง จากนั้นรับประทานครั้งละ 200 มิลลิกรัม หรือครั้งละ 5 มิลลิลิตรสำหรับยาชนิดน้ำ ทุก 12 ชั่วโมง หากจำเป็นอาจเพิ่มปริมาณยาเป็นครั้งละ 300 มิลลิกรัม ทุก 12 ชั่วโมง หรือค่อย ๆ ลดปริมาณยาลงครั้งละ 50 มิลลิกรัม

ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 40 กิโลกรัม รับประทานครั้งละ 200 มิลลิกรัม หรือครั้งละ 5 มิลลิลิตรสำหรับยาชนิดน้ำ ทุก 12 ชั่วโมง จนครบ 24 ชั่วโมง จากนั้นรับประทานครั้งละ 100 มิลลิกรัม หรือครั้งละ 2.5 มิลลิลิตรสำหรับยาชนิดน้ำ ทุก 12 ชั่วโมง โดยอาจเพิ่มปริมาณยาเป็นครั้งละ 150 มิลลิกรัม ทุก 12 ชั่วโมง หรือค่อย ๆ ลดปริมาณยาลงครั้งละ 50 มิลลิกรัมตามความเหมาะสม

ในกรณีผู้ป่วยติดเชื้อแคนดิดาบริเวณหลอดอาหาร ให้รับประทานยาติดต่อกันอย่างน้อย 14 วัน และรับประทานยาต่อเนื่องอีก 7 วันหลังจากอาการหายดี 

การใช้ยา Voriconazole

ผู้ป่วยที่รับประทานยา Voriconazole ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เภสัชกร หรือฉลากยาอย่างเคร่งครัด และไม่ควรหยุดรับประทานยาเองเพื่อป้องกันการติดเชื้อราซ้ำ ในกรณีที่รับประทานยาชนิดน้ำหรือยาน้ำแขวนตะกอน ควรเขย่าขวดก่อนและใช้อุปกรณ์สำหรับตวงยาโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันการรับประทานยาเกินขนาด 

ยา Voriconazole เป็นยาที่ควรรับประทานขณะท้องว่าง โดยอาจเลือกรับประทานยาก่อนหรือหลังอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หากลืมรับประทานยาตามเวลาที่กำหนด ให้รับประทานยาทันที แต่หากใกล้ถึงเวลารอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานในรอบถัดไปโดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า และแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากลืมรับประทานยาบ่อย ๆ

สำหรับการเก็บรักษายา ควรเก็บยาไว้ในอุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงความชื้น เก็บให้พ้นมือเด็ก และไม่ควรใช้ยาหากยาหมดอายุ หากรับประทานยาชนิดยาน้ำแขวนตะกอน ให้เก็บผงยาไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิ 2–8 องศาเซลเซียส ในกรณีที่ผสมผงยากับน้ำแล้ว ไม่ควรเก็บยาไว้ในตู้เย็น ให้เก็บยาไว้ในอุณหภูมิห้อง แต่ไม่ควรเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิเกิน 30 องศาเซลเซียส และไม่ควรรับประทานยาที่ผสมน้ำทิ้งไว้เกิน 14 วัน

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Voriconazole

ยาโวริโคนาโซลอาจส่งผลให้ผู้ใช้เกิดผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น คัดจมูก จาม ปวดไซนัส ไอ เจ็บคอ เลือดกำเดาไหล ไอปนเลือด ท้องเสีย ท้องอืด ท้องผูก คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มีไข้ขึ้น หนาวสั่น ผื่นขึ้น ปวดศีรษะ หรือความดันโลหิตต่ำลงหรือสูงขึ้น ซึ่งหากพบอาการในข้างต้นและอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ให้หยุดใช้ยาและแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที หากพบผลข้างเคียงบางอย่างที่รุนแรง เช่น

  • สัญญาณของอาการแพ้ยา เช่น ผื่น ลมพิษ หายใจลำบาก เวียนศีรษะขั้นรุนแรง รู้สึกคันหรือเกิดอาการบวมบริเวณใบหน้า ลิ้น หรือลำคอ เป็นต้น
  • มีปัญหาด้านการมองเห็น เช่น มองไม่ชัด เจ็บตา ภาพที่เห็นมีสีเปลี่ยนไป หรือดวงตาไวต่อแสง เป็นต้น
  • เกิดอาการที่เป็นสัญญาณผิดปกติของไต อย่างปัสสาวะมากหรือน้อยเกินไป บริเวณเท้าหรือข้อเท้าบวม อ่อนเพลีย หรือหายใจไม่อิ่ม
  • เกิดอาการที่เป็นสัญญาณของโรคตับที่รุนแรง เช่น มีอาการคล้ายเป็นหวัด คัน คลื่นไส้อาเจียนไม่หยุด เบื่ออาหาร ปวดท้อง ผิวเหลือง ตาเหลือง หรือปัสสาวะมีสีคล้ำ
  • เกิดสัญญาณของภาวะเกลือแร่ในร่างกายไม่สมดุล เช่น เวียนศีรษะ รู้สึกชาหรือเหมือนมีเข็มทิ่ม ท้องผูก กระหายน้ำมากผิดปกติหรือปัสสาวะบ่อย หัวใจเต้นผิดจังหวะ ไอหรือสำลัก กระวนกระวาย ขาเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น
  • อาการทางผิวหนังที่รุนแรง เช่น เกิดรอยช้ำหรือจุดสีแดงตามร่างกาย เจ็บผิวหนัง มีเลือดออก หรือเกิดรอยผื่นสีแดงหรือม่วงร่วมกับอาการพุพองและลอก
  • ไข้ขึ้น
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม
  • ปวดกล้ามเนื้อ
  • อ่อนเพลียขั้นรุนแรง
  • ผิวไหม้แดด
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • หัวใจเต้นช้าลง ชีพจรต่ำ หายใจช้า
  • ปวดตามข้อหรือกระดูก
  • เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะจิตใจหรืออารมณ์ เช่น อาการหลอน
  • บริเวณมือ ข้อเท้า หรือฝ่าเท้าบวม
  • เป็นลม