Drug name: doxycycline

Description:

Doxycycline (ด็อกซีไซคลิน)

Doxycycline (ด็อกซีไซคลิน)

Share:

Doxycycline (ด็อกซีไซคลิน) คือยาปฏิชีวนะในกลุ่มเตตราไซคลิน (Tetracycline) โดยมีคุณสมบัติรักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ เช่น สิว การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อในลำไส้ใหญ่ ติดเชื้อที่ตา โรคหนองในแท้ โรคหนองในเทียม และโรคเหงือก เป็นต้น

นอกจากนี้ด็อกซีไซคลินยังถูกใช้เพื่อรักษาฝ้า รอยนูน และแผลคล้ายสิวที่เกิดจากโรคสิวหน้าแดง (Rosacea) ได้ รวมถึงยังเป็นหนึ่งในตัวยาที่ใช้ในการป้องกันโรคมาลาเรีย และใช้ในการรักษาโรคแอนแทร็กซ์ รักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากตัวไร เห็บ หรือเหา ด้วยเช่นกัน โดยยาด็อกซีไซคลินเป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้คำสั่งของแพทย์เท่านั้น

เกี่ยวกับยา Doxycycline

กลุ่มยา ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic)       
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ รักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรีย
กลุ่มผู้ป่วย ผู้ใหญ่ ยกเว้นสตรีมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
รูปแบบของยา ยาเม็ด  

คำเตือนเกี่ยวกับยา Doxycycline

  • หลีกเลี่ยงการใช้ยา หากพบว่ามีประวัติแพ้ยาด็อกซีไซคลิน หรือยาปฏิชีวนะในกลุ่มเตตร้าไซคลิน
  • แจ้งแพทย์ทุกครั้งหากผู้ใช้มีอาการป่วยของโรคตับ โรคไต โรคหอบหืด มีอาการแพ้ซัลไฟต์ มีประวัติความดันภายในกะโหลกศีรษะสูง หรืออยู่ในระหว่างการใช้ยา ยาไอโซเตรทติโนอิน (Isotre Tinoin) ซึ่งเป็นยารักษาสิว รวมถึงผู้ป่วยที่ใช้ยากันชักด้วย
  • หากเป็นผู้ป่วยที่ใช้ยาดังกล่าวเพื่อรักษาอาการหนองในแท้ ควรเข้ารับการตรวจให้แน่ใจว่าไม่ได้ป่วยเป็นโรคซิฟิลิสหรือโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เพราะอาจทำให้การรักษาไม่ครอบคลุม
  • ห้ามใช้ยาด็อกซีไซคลินระหว่างการตั้งครรภ์ เพราะอาจทำให้ทารกในครรภ์มีสีฟันที่ผิดปกติถาวรเมื่อโตขึ้น ควรแจ้งแพทย์ให้ชัดเจนหากเกิดการตั้งครรภ์ในช่วงที่กำลังรักษา
  • ห้ามใช้ยาดังกล่าวกับเด็ก เพราะยาด็อกซีไซคลินจะทำให้ฟันของเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปีเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองหรือสีเทาอย่างถาวรได้ หากต้องใช้ ควรใช้ในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เช่น การรักษาโรคแอนแทรกซ์เป็นต้น
  • ยาดังกล่าวอาจทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลง ดังนั้นหากต้องการคุมกำเนิดในระหว่างการใช้ยา ควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น ๆ ร่วมด้วย

ปริมาณการใช้ยา Doxycycline

  • รักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรีย รับประทาน 200 มิลลิกรัมในวันแรกโดยรับประทานครั้งเดียว หรือแบ่งเป็นครั้ง ๆ ตามที่แพทย์สั่ง จากนั้นรับประทาน 100 มิลลิกรัม/ครั้ง/วัน ในกรณีติดเชื้อรุนแรง ปริมาณยาจะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการรักษา
  • รักษาโรคเหงือก รับประทาน 20 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 9 เดือน
  • รักษาโรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) รับประทาน 100 มิลลิกรัม ทุก ๆ 12 ชั่วโมง ติดต่อกัน 7-10 วัน
  • รักษาการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน รับประทาน 100 มิลลิกรัม ทุก ๆ 12 ชั่วโมง ติดต่อกัน 7-10 วัน
  • อาการไข้กลับและการติดเชื้อพาหนะไข้รากสาดใหญ่ รับประทาน 100 หรือ 200 มิลลิกรัม 1 ครั้ง
  • ป้องกันโรคสครับไทฟัส (Scrub Typhus) รับประทาน 200 มิลลิกรัม 1 ครั้ง
  • หนองในแท้ที่ไม่มีอาการแทรกซ้อน รับประทานครั้งละ 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 7 วัน หรือรับประทานครั้งแรก 300 มิลลิกรัม แล้วตามด้วยครั้งที่ 2 ด้วยปริมาณที่ใกล้เคียงกัน ห่างกัน 1 ชั่วโมง
  • รักษาหนองในเทียม รับประทาน 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 7 วัน
  • รักษาโรคซิฟิลิส รับประทาน 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 14 วัน
  • รักษาปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis) รับประทาน 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 7 วัน
  • รักษาสิว เบื้องต้นรับประทานวันละ 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 3-6 สัปดาห์ จนกว่าอาการจะดีขึ้น หากรับประทานเพื่อพยุงอาการควรรับประทาน 50-150 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง
  • รักษาสิวหน้าแดง ใช้วันละ 40 มิลลิกรัม 1 ครั้งตอนเช้าก่อนอาหาร หรือ 1 ชั่วโมงก่อนอาหาร/2 ชั่วโมงหลังอาหารเช้า
  • รักษาโรคบิดมีตัว (Amoebiasis) รับประทาน 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้งควบคู่กับยาอะมีไบไซด์ (Amebicides)
  • รักษาโรคอุจจาระร่วง (Cholera) รับประทาน 300 มิลลิกรัม 1 ครั้ง ควบคู่กับสารทดแทนน้ำและเกลือแร่
  • รักษาโรคมาลาเรียชนิดฟาลซิพารัมที่มีการดื้อยาคลอโรคควิน (Chloroquine Resistant Falciparum Malaria Acute Attack) รับประทานวันละ 200 มิลลิกรัม อย่างน้อย 7 วัน ควบคู่กับการใช้ยาควินิน หรือรับประทานหลังจบการรักษาด้วยยาควินิน
  • รักษาและป้องกันโรคแอนแทรกซ์ที่ติดต่อผ่านทางการหายใจ รับประทานวันละ 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง รับประทานต่อเนื่องจนกว่าจะครบ 60 วัน และรับประทานควบคู่กับยาต้านเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ ร่วมด้วย
  • ป้องกันโรคมาลาเรียชนิดดื้อยาคลอโรควิน รับประทาน 100 มิลลิกรัมทุกวัน ติดต่อกัน 2 ปี

การใช้ยา Doxycycline

การใช้ยาด็อกซีไซคลินจะต้องอยู่ใต้คำแนะนำของแพทย์เนื่องจากเป็นยาที่มีผลข้างเคียงมาก ห้ามรับประทานยาเกินกว่าหรือน้อยกว่าปริมาณที่แพทย์สั่ง ยาด็อกซีไซคลินสามารถรับประทานได้ทั้งก่อนหรือหลังอาหาร แต่ถ้าหากผู้ป่วยมีอาการระคายเคืองที่กระเพาะอาหาร ควรรับประทานหลังอาหาร นอกจากนี้ควรรับประทานยาจนกว่าจะหมดแม้อาการจะดีขึ้นแล้ว เพราะหลังจากหายจากอาการต่าง ๆ แล้วจะต้องใช้เวลาอีกช่วงหนึ่งกว่าเชื้อจะถูกกำจัดจนหมด

หากผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรแจ้งให้ศัลยแพทย์ทราบ เพราะอาจต้องหยุดรับประทานยาชั่วคราว

สำหรับสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร ยาด็อกซีไซคลินถือเป็นยาที่ควรหลีกเลี่ยง และควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนได้รับยา เพราะยาดังกล่าวอาจส่งผลต่อฟันของทารกในครรภ์ และสามารถปนเปื้อนกับน้ำนมในช่วงให้นมบุตร ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพฟันได้

ที่สำคัญการใช้ยาดังกล่าวควรสังเกตวันหมดอายุที่ฉลากอย่างละเอียด การรับประทานยาด็อกซีไซคลินที่หมดอายุสามารถส่งผลอันตรายต่อไตได้โดยตรง

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Doxycycline

ผลข้างเคียงจากการใช้ยามีค่อนข้างมาก ซึ่งควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดหากพบอาการไม่พึงประสงค์ต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายต่อไปนี้

  • ระบบย่อยอาหาร - ปวดกระเพาะอาหาร อุจจาระผิดปกติ เช่น มีสีดำเลื่อม มีสีคล้ายโคลน ผายลมบ่อย ท้องเสีย หรือท้องเสียเป็นเลือด ความอยากอาหารลดลง มีแผลในปาก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้องอย่างรุนแรง ตัวเหลือง น้ำหนักลดผิดปกติ
  • ระบบทางเดินปัสสาวะ - ปัสสาวมีสีเข้ม
  • ระบบทางเดินหายใจ - ไอ เจ็บคอ กลืนอาหารได้ลำบาก
  • หัวใจและหลอดเลือด - เจ็บหน้าอก หรือมีอาการปวดเค้นที่หัวใจ วิงเวิยนศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว มีอาการบวมที่ขาและเท้า
  • ระบบภูมิคุ้มกัน - มีไข้ มีอาการลมพิษ และมีอาการบวมรอบ ๆ ดวงตา ใบหน้า ริมฝีปาก และลิ้น
  • ระบบประสาท - ปวดศีรษะ
  • ผิวหนัง - มีอาการลมพิษ คัน มีผื่นขึ้น ริมฝีปาก ลิ้น ใบหน้า บริเวณรอบดวงตา คอ มือ ขา เท้า หรืออวัยวะเพศบวมหนาขึ้น มีจุดแดงตามผิวหนัง และผิวหนังอาจไวต่อแสงอาทิตย์ ซึ่งควรใช้ครีมกันแดดเพื่อช่วยบรรเทาอาการ
  • กระดูก มีอาการปวดและบวมตามข้อต่อ หรือกล้ามเนื้อ
  • ตา - เยื่อบุตาอักเสบ
  • อื่น ๆ มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต รู้สึกเหนื่อยมากผิดปกติ

นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่สามารถพบได้ซึ่งไม่รุนแรงจนถึงขั้นต้องทำการรักษาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากเป็นภาวะที่ร่างกายกำลังปรับตัวกับการใช้ยา แต่เพื่อความมั่นใจ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หากมีอาการผิตปกติ

ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ :

  • Buerger's Disease
  • ฟันตาย
  • ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis)