Drug name: ยาคุมแบบฉีด

Description:

ยาคุมแบบฉีด

ยาคุมแบบฉีด

Share:

ยาคุมแบบฉีด (Contraceptive Injections) คือยาคุมกำเนิดรูปแบบหนึ่ง โดยฉีดสารโปรเจสโตเจนเข้าไปในร่างกาย วิธีคุมกำเนิดลักษณะนี้เริ่มใช้ตั้งแต่ปีค.ศ. 1960 และนำมาใช้แพร่หลายทั่วโลก การฉีดยาคุมจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยยาที่ฉีดเข้าไปจะซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ร่างกายหยุดการตกไข่ สร้างเมือกหนาที่คอมดลูกเพื่อป้องกันไม่ให้อสุจิผ่านเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ รวมทั้งทำให้เยื่อบุมดลูกบางลงเพื่อไม่รองรับไข่ที่ตกออกมา หากใช้ถูกวิธี จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 99%

ยาคุมแบบฉีดแต่ละชนิดประกอบด้วย

  • เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน (Medroxyprogesterone) คือสารโปรเจสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงช่วยป้องกันการตกไข่ นอกจากจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์แล้ว ยาคุมชนิดนี้ยังช่วยลดอาการเจ็บปวดที่เกิดจากโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ อีกทั้งลดความเจ็บปวดและอาการอื่น ๆ ของผู้ที่ป่วยเป็นเนื้องอกในมดลูกซึ่งอยู่ในระยะลุกลาม และผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งในระยะลุกลาม อย่างไรก็ตาม ยาคุมชนิดนี้ไม่สามารถรักษาโรคดังกล่าวได้
  • เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน (Medroxyprogesterone) 25 มิลลิกรัม รวมกับ เอสทราดิอัล ไซพิโอเนท   (Estradiol cypionate)   เอสทราดิอัล ไซพิโอเนท คือฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน โดยยานี้จะใช้ทดแทนฮอร์โมนเอสโตรเจนสำหรับผู้หญิงที่ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนดังกล่าวได้เองอย่างเพียงพอ การฉีดยาคุมชนิดนี้จะผสมกับเมดรอกซีโปรเจสเตอโรน ช่วยให้ไข่ที่ผลิตมาจากรังไข่นั้นไม่เติบโต ทำให้ไม่สามารถผสมกับอสุจิและรับการปฏิสนธิได้ ผู้ที่ฉีดยาคุมชนิดนี้จะมีรอบเดือนมาสม่ำเสมอกว่า มักไม่เกิดอาการประจำเดือนมาไม่ปกติอันเป็นผลข้างเคียงของการใช้ยาคุมแบบฉีดชนิดอื่น

เกี่ยวกับยาคุมแบบฉีด

กลุ่มยา ยาคุมกำเนิด       
ประเภทยา ต้องได้รับการฉีดจากแพทย์เท่านั้น
สรรพคุณ ป้องกันการตั้งครรภ์
กลุ่มผู้ป่วย ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์
รูปแบบของยา ยาสำหรับฉีด

คำเตือนในการใช้ยา

  • สตรีมีครรภ์หรือมีแนวโน้มที่จะตั้งครรภ์ไม่ควรรับการฉีดยาคุม
  • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคต่อไปนี้ ไม่ควรรับการฉีดยาคุม
  • โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดแดงหรือมีประวัติป่วยเป็นโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดในสมอง
  • ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือด
  • โรคตับ
  • ไมเกรน
  • มะเร็งเต้านมหรือเคยป่วยเป็นโรคนี้
  • เบาหวานและเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรค
  • เสี่ยงเป็นภาวะกระดูกเปราะ
  • ผู้ที่ฉีดยาคุมชนิดเมดรอกซีโปรเจสเตอโรนอาจทำให้รอบเดือนมาไม่ปกติ หากประจำเดือนมามากหรือมานานกว่าปกติ สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและรับการรักษาได้
  • ผู้ที่รับการฉีดยาคุมชนิดเมดรอกซีโปรเจสเตอโรนอาจจะต้องใช้เวลานานกว่า 1 ปีนับตั้งแต่สารของยาหมดไปจากร่างกายถึงจะสามารถกลับไปตั้งครรภ์ได้ตามปกติ จึงอาจเป็นวิธีคุมกำเนิดที่ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีลูกในอนาคต
  • การฉีดยาคุม เป็นวิธีคุมกำเนิดที่ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากต้องการคุมกำเนิดและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรใช้ถุงยางอนามัย
  • ยาคุมที่ฉีดเข้าไปในร่างกายไม่สามารถขจัดออกมาได้ในทันที หากได้รับผลข้างเคียงจากยาคุม จะปรากฏอาการจากผลข้างเคียงอยู่นานจนกว่าสารของยาคุมจะหมดไปจากร่างกาย ซึ่งระยะเวลานั้นขึ้นอยู่กับชนิดของยาคุมที่ใช้ฉีด   

ปริมาณการใช้ยาคุมแบบฉีด

ยาคุมแบบฉีดแต่ละชนิดมีปริมาณและวิธีฉีดยาคุม ดังนี้

  • เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน (Medroxyprogesterone) ยาคุมชนิดนี้จะใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ โดยมักฉีดบริเวณกล้ามเนื้อหัวไหล่และแขน กล้ามเนื้อด้านข้างของต้นขา และกล้ามเนื้อสะโพกซึ่งมักฉีดบริเวณนี้หากผู้รับการฉีดยาคุมค่อนข้างอ้วน แพทย์จะฉีดในปริมาณ 150 มิลลิกรัม หรือปริมาณ 3 มิลลิลิตร และมารับการฉีดทุก 3 เดือน
  • เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน (Medroxyprogesterone) 25 มิลลิกรัม รวมกับ เอสทราดิอัล ไซพิโอเนท (Estradiol Cypionate) 5 มิลลิกรัม ยาคุมชนิดนี้ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ โดยจะฉีดเข้าที่ส่วนบนของแขนหรือต้นขา หรือฉีดเข้าที่ก้น แพทย์จะฉีดในปริมาณ 0.5 มิลลิลิตร ผู้ที่ฉีดยาคุมชนิดนี้ต้องมารับการฉีดทุก ๆ 28-30 วัน

วิธีใช้ยาคุมแบบฉีด

ยาคุมแบบฉีดควรได้รับการฉีดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น โดยแพทย์จะฉีดสารโปรเจสโตเจนเข้าที่กล้ามเนื้อ ซึ่งมักฉีดที่ก้นหรือบางครั้งก็ฉีดที่ไหล่ การฉีดยาคุมเข็มแรกมักฉีดในช่วง 1-5 วันแรกเมื่อเริ่มมีประจำเดือน เพราะจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันที และฉีดยาคุมเข็มต่อไปเมื่อครบกำหนดที่ต้องรับการฉีด ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดยาคุม ในกรณีที่ไม่สามารถฉีดยาคุมภายในช่วง 5 วันแรกของรอบเดือน ก็อาจฉีดยาคุมช่วงอื่นได้ ซึ่งผู้รับการฉีดยาคุมต้องมั่นใจว่าไม่ได้กำลังตั้งครรภ์ โดยแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 7 วัน

การฉีดยาคุมชนิดเมดรอกซีโปรเจสเตอโรนสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร สามารถรับการฉีดได้ทุกเมื่อ โดยยาคุมชนิดนี้ไม่ส่งผลให้ปริมาณน้ำนมลดลง หากผู้ที่รับการฉีดไม่ได้ให้นมบุตร ควรฉีดภายใน 5 วันหลังคลอด แต่หากต้องให้นมบุตรด้วย จะสามารถฉีดยาคุมได้เมื่อผ่านไปแล้ว 6 สัปดาห์ ทั้งนี้ ประสิทธิภาพของยาจะต่างกันไปตามระยะเวลาที่ฉีดหลังคลอด กล่าวคือ หากเริ่มฉีดยาคุมก่อนหรือเข้าวันที่ 21 หลังคลอดบุตรจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันที แต่หากฉีดหลังวันที่ 21 นับตั้งแต่คลอดบุตรไปแล้ว จะต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น ๆ ร่วมด้วยอีกเป็นเวลา 7 วัน

ส่วนการฉีดยาคุมชนิดเมดรอกซีโปรเจสเตอโรนรวมกับเอสทราดิอัล ไซพิโอเนท ให้กับสตรีหลังคลอดนั้น ควรรับการฉีดหลังผ่านไป 4 สัปดาห์นับตั้งแต่คลอดในกรณีที่ไม่ได้ให้นมบุตร แต่หากให้นมบุตร ควรฉีดยาคุมหลังผ่านไปแล้ว 6 สัปดาห์นับตั้งแต่คลอดบุตร อย่างไรก็ตาม ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ผสมอยู่ในยาคุมนั้นอาจส่งผลต่อการให้นมบุตร ซึ่งอาจทำให้ปริมาณและคุณภาพน้ำนมลดลง จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับการฉีดยาคุมชนิดนี้

สำหรับผู้หญิงที่แท้งบุตรเองหรือทำแท้งนั้น สามารถฉีดยาคุมได้ทันที ซึ่งจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้โดยตรง แต่หากฉีดยาคุมหลังแท้งบุตรหรือทำแท้งมากว่า 5 วันนับจากนั้น ควรใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 7 วัน

ผลข้างเคียงของยาคุมแบบฉีด

การฉีดยาคุมมักไม่พบผลข้างเคียงได้บ่อยนัก แต่หากผู้ที่รับการฉีดยาคุมได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยาแล้วก็จะเกิดอาการของผลข้างเคียงนั้นนานกว่า 2 เดือนหรือมากกว่านั้น ผลข้างเคียงจากการฉีดยาคุมแต่ละชนิด มีดังนี้

  • ผลข้างเคียงจากการฉีดยาคุมชนิดเมดรอกซีโปรเจสโตเจน ประกอบด้วย
    • ประจำเดือนมาไม่ปกติ ผู้ที่ฉีดยาคุมบางชนิดอาจเกิดประจำเดือนมาไม่ปกติ ซึ่งจะเกิดในช่วงปีแรกที่ฉีดยาคุม อาจมีประจำเดือนมามาก ประจำเดือนมาเป็นระยะเวลาสั้น ประจำเดือนมาน้อย หรือประจำเดือนขาด โดยจะเกิดภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติหากสารโปรเจสโตเจนที่ฉีดเข้าไปยังอยู่ในร่างกาย หากต้องการให้ประจำเดือนมาตามปกติหรือต้องการตั้งครรภ์ ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่หลังจากหยุดฉีดยาคุม ซึ่งใช้เวลา 8-12 สัปดาห์เพื่อให้สารโปรเจสโตเจนออกจากร่างกายจนหมด
    • น้ำหนักขึ้น ผู้ที่ฉีดยาคุมอาจน้ำหนักขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี หรือน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานและมีดัชนีมวลกายอยู่ที่ 30 หรือมากกว่านั้น
    • มวลกระดูกน้อยลง การฉีดยาคุมส่งผลต่อระดับเอสโตรเจนในร่างกาย ทำให้เสี่ยงมวลกระดูกน้อยลงได้ แต่ไม่ทำให้เสี่ยงกระดูกเปราะ ผู้ที่ฉีดยาคุมจึงควรไปพบแพทย์ทุก ๆ 2 ปีเพื่อดูว่าการฉีดยาคุมเป็นวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมสำหรับตัวเองหรือไม่ โดยทั่วไปแล้ว ผลข้างเคียงนี้ไม่ได้เป็นปัญหารุนแรงสำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่ เนื่องจากร่างกายสามารถสร้างกระดูกขึ้นมาใหม่ได้เมื่อหยุดการฉีดยาคุม อีกทั้งยังไม่ลุกลามเป็นปัญหาเรื้อรังด้วย แต่ผลข้างเคียงนี้อาจอันตรายต่อผู้ที่เสี่ยงเป็นภาวะกระดูกเปราะมาก่อน รวมทั้งผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากร่างกายยังต้องสร้างกระดูกอยู่
  • ผลข้างเคียงจากการฉีดยาคุมชนิดเมดรอกซีโปรเจสโตเจนรวมกับเอสทราดิอัล ไซพิโอเนท ประกอบด้วย
    • เลือดออกในช่องคลอด ผู้ที่ฉีดยาคุมชนิดนี้อาจมีเลือดคล้ายประจำเดือนที่มาจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก (Withdrawal Bleeding) เกิดขึ้นภายใน 20-25 วันหลังฉีดยาคุม โดยเลือดจะออกในช่องคลอดประมาณ 7 วัน อาการเลือดออกที่ผิดปกตินี้จะเกิดขึ้นในเดือนแรกที่เริ่มฉีดยาคุม นอกจากนี้ หากอยู่ในช่วงที่มีรอบเดือน อาจมีประจำเดือนมามาก มาน้อย หรือไม่มาเลย ซึ่งไม่ใช่สัญญาณหรืออาการของปัญหาสุขภาพใด ๆ อย่างไรก็ตาม หากยังเกิดอาการเลือดออกผิดปกติอยู่หรือรุนแรงขึ้น ควรปรึกษาแพทย์
    • น้ำหนักขึ้นลงไม่ปกติ ผู้ที่ฉีดยาคุมชนิดนี้มักได้รับผลข้างเคียงโดยน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1 กิโลกรัม บางรายอาจน้ำหนักขึ้นมากกว่า 4-9 กิโลกรัม และบางรายอาจน้ำหนักขึ้นหรือลดลงประมาณ 20 กิโลกรัม
    • ปัญหาเกี่ยวกับคอนแทคเลนส์ ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ หากสังเกตว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงในการมองเห็น หรือไม่สามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้ ควรพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษา
    • บวมน้ำ ผู้ที่ฉีดยาคุมชนิดนี้อาจเกิดอาการบวมน้ำ โดยนิ้วหรือข้อเท้าจะบวมขึ้น และความดันโลหิตสูงขึ้น

นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้ยาคุมแบบฉีดยังปรากฏผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่พบได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัว วิงเวียนศีรษะ ปวดท้อง เหนื่อยล้า เป็นสิวเพิ่มขึ้น เต้านมคัด อารมณ์แปรปรวน และความต้องการทางเพศลดลง