Drug name: คีโตโคนาโซล
Description: คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) เป็นยาที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อราในร่างกายและที่ผิวหนัง เช่น เชื้อราในเลือด เชื้อราในปอด เชื้อราในช่องคลอด กลาก เกลื้อน หรือรังแค โดยตัวยาจะออกฤทธิ์หยุดการสังเคราะห์ของเออร์กอสเตอรอล (Ergosterol) ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์เชื้อรา จึงส่งผลต่อการลำเลียงอาหารเข้าเซลล์ของเชื้อรา ทำให้เชื้อราขาดสารอาหารและหยุดการเจริญเติบโต ยาคีโตโคนาโซลที่จำหน่ายทั่วไปจะเป็นรูปแบบยาที่ใช้ทาภายนอก เช่น ครีมทาผิวหนังและแชมพูขจัดรังแค หากเป็นยาคีโตโคนาโซลที่สั่งจ่ายโดยสถานพยาบาลส่วนมากจะเป็นรูปแบบยาเม็ดสำหรับรับประทาน เกี่ยวกับยาคีโตโคนาโซล คำเตือนในการใช้ยาคีโตโคนาโซล เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ใช้ยาควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ ปริมาณการใช้ยาคีโตโคนาโซล ปริมาณการใช้ยาคีโตโคนาโซลจะอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ ผู้ป่วยแต่ละคนอาจใช้ยาในปริมาณที่แตกต่างกันออกไปตามชนิดของโรคและความรุนแรงของโรค โดยตัวอย่างการใช้ยามีดังนี้ รังแค ตัวอย่างการใช้ยาคีโตโคนาโซล เพื่อรักษาและป้องกันรังแค เด็ก ปริมาณยาและระยะเวลาการใช้ยาต้องได้รับการพิจารณาจากแพทย์ ผู้ใหญ่ ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของยาคีโตโคนาโซล 2% สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 2–4 สัปดาห์ กรณีใช้ป้องกันรังแค ให้ชโลมแชมพูบนหนังศีรษะที่เปียกทิ้งไว้ 3–5 นาที และล้างออกให้สะอาด ทุก 1–2 สัปดาห์ โรคเกลื้อนและการติดเชื้อราที่ผิวหนัง ตัวอย่างการใช้ยาคีโตโคนาโซล เพื่อรักษาโรคเกลื้อนหรือการติดเชื้อราที่ผิวหนัง เด็ก ปริมาณยาและระยะเวลาการใช้ยาต้องได้รับการพิจารณาจากแพทย์ ผู้ใหญ่ ใช้ยาชนิดทาหรือครีมที่มีส่วนผสมของยาคีตาโคนาโซล 2% ทาลงบนผิวหนังบริเวณที่เป็นเกลื้อนและผิวหนังโดยรอบ วันละ 1–2 ครั้ง เป็นเวลา 2–3 สัปดาห์ เมื่ออาการหายดีแล้วควรใช้ต่อเนื่องไปอีกประมาณ 2–3 วัน ไม่ควรหยุดใช้ยาทันที ในกรณีเกิดเชื้อราบนหนังศีรษะให้ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของยาคีโตโคนาโซล 2% วันละ 1 ครั้ง และควรใช้ต่อเนื่องสูงสุดไม่เกิน 5 วัน ส่วนการป้องกันเชื้อราบนหนังศีรษะให้ชโลมแชมพูลงบนหนังศีรษะที่เปียกก่อนออกแดด วันละ 1 ครั้ง และควรใช้ต่อเนื่องสูงสุดไม่เกิน 3 วัน การติดเชื้อราที่แพร่กระจายทั่วร่างกาย ตัวอย่างการใช้ยาคีโตโคนาโซลเพื่อรักษาการติดเชื้อราที่แพร่กระจายทั่วร่างกาย เช่น กลากที่มือ บริเวณขาหนีบ หรือตามลําตัว และการติดเชื้อกลุ่มแคนดิดาที่ผิวหนัง เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป รับประทานยา 3.3–6.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม วันละ 1 ครั้ง จนกว่าจะหาย ผู้ใหญ่ ให้รับประทานยา 200 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง หากการตอบสนองของยาไม่เพียงพออาจเพิ่มปริมาณยาเป็น 400 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง การใช้ยาคีโตโคนาโซล การใช้ยาคีโตโคนาโซลจะต้องใช้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือตามวิธีใช้บนฉลากอย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ยามากกว่าหรือน้อยกว่าที่แพทย์แนะนำ และควรใช้ยาให้ครบตามกำหนดเวลาที่แพทย์แนะนำ เพราะหากใช้ยาไม่ครบตามเวลาที่กำหนดอาจทำให้อาการดีขึ้นจริงแต่การติดเชื้อยังคงอยู่ และอาจเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้ออื่น ๆ ที่ดื้อต่อยาต้านเชื้อรามากขึ้นด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย ผู้ป่วยอาจต้องตรวจเลือดก่อนใช้ยา และอาจต้องตรวจเลือดบ่อยครั้งในระหว่างใช้ยาด้วย เพื่อดูการทำงานของตับ เพราะตัวยาอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปัญหาเกี่ยวกับตับ หากใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ไม่ตอบสนองต่อยา มีอาการแพ้ยา หรือมีผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาในปริมาณมากเกินไปเกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ การใช้ยาคีโตโคนาโซลในรูปแบบของยาทา ควรล้างมือทั้งก่อนและหลังการใช้ยา เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อกระจายไปตามส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย หรือแพร่ไปยังคนอื่น สำหรับการเก็บยาควรเก็บยาที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีความชื้น ความร้อน แสงแดด รวมถึงเก็บให้พ้นมือเด็ก ปฏิกิริยาระหว่างยาคีโตโคนาโซลกับยาอื่น ยาคีโตโคนาโซลอาจทำปฏิกิริยากับยา วิตามิน หรือสมุนไพรบางชนิด ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะยาต่อไปนี้ ตัวอย่างยาดังข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่อาจทำปฏิกิริยากับยาคีโตโคนาโซลเท่านั้น หากผู้ป่วยกำลังใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ อยู่ ควรแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบก่อนเสมอ เพื่อความปลอดภัยต่อร่างกาย ผลข้างเคียงจากการใช้ยาคีโตโคนาโซล การใช้ยาคีโตโคนาโซลอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ต่อร่างกายได้ โดยผลข้างเคียงทั่วไปที่เกิดได้จากการใช้ยาในรูปแบบรับประทาน เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และปวดท้อง ส่วนผลข้างเคียงจากการใช้ยาในรูปแบบครีมหรือแชมพู อาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่อผิวหนัง เช่น มีอาการคัน ผิวหนังไหม้ ผิวหนังลอก หรือผิวหนังตกสะเก็ด ส่วนผลข้างเคียงรุนแรงที่ควรรีบไปพบแพทย์ มีดังนี้คีโตโคนาโซล (Ketoconazole)
กลุ่มยา
ยาต้านเชื้อรา
ประเภทยา
ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ
รักษาโรคจากเชื้อรา
กลุ่มผู้ป่วย
เด็กและผู้ใหญ่
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร
Category C จากการศึกษาในสัตว์พบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาทดลองในมนุษย์และสัตว์ ควรใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่ามีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ รวมถึงผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา เพราะยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าสามารถใช้ได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเด็กทารกที่รับประทานนมแม่
รูปแบบของยา
ยาเม็ด ยาทา แชมพู