Illness name: ถ่ายเป็นเลือด

Description:

ถ่ายเป็นเลือด

ความหมาย ถ่ายเป็นเลือด

Share:

ถ่ายเป็นเลือด (Rectal Bleeding หรือ Hematochezia) เป็นลักษณะอาการที่ผู้ป่วยมีเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากทวารหนัก ถ่ายอุจจาระแล้วมีเลือดหรือลิ่มเลือดปนอยู่ หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีแดงเข้ม สาเหตุหลักที่มักทำให้ถ่ายเป็นเลือด คือการบาดเจ็บที่อวัยวะในระบบย่อยอาหารอย่างลำไส้ใหญ่ ไส้ตรง และทวารหนัก โดยการถ่ายเป็นเลือดอาจเป็นการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยไปจนถึงสัญญาณอันตรายของปัญหาสุขภาพที่สำคัญ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ปริมาณของเลือดที่ถ่ายออกมา และระยะเวลาที่มีอาการถ่ายเป็นเลือด

โดยปกติแล้ว คนเรามักถ่ายอุจจาระออกมาเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นผลจากน้ำดีในตับที่ช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร ในบางครั้ง อาจพบว่าอุจจาระมีสีที่ต่างไปจากปกติ เช่น เขียว สีเหลือง สีซีด ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีภายในร่างกายในระบบย่อยอาหาร การทำปฏิกิริยาของแบคทีเรียและเอนไซม์ในลำไส้ หรือการรับประทานอาหารบางชนิดที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสีอุจจาระ

การเปลี่ยนแปลงของสีอุจจาระเพียงเล็กน้อยอาจมีนัยสำคัญบ่งชี้โรคน้อยมากด้วยเช่นกัน แต่หากพบว่าสีของอุจจาระเปลี่ยนไปติดต่อกันเป็นเวลานาน และมีอุจจาระสีดังกล่าวในหลาย ๆ ครั้งที่ขับถ่าย อาจต้องสังเกตอาการแสดงอื่น ๆ ที่ปรากฏทางร่างกายร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากถ่ายอุจจาระเป็นสีดำเข้ม สีแดงอ่อน มีเลือดปน มีลิ่มเลือด หรือถ่ายเป็นเลือด ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาต่อไป

อาการถ่ายเป็นเลือด

นอกเหนือจากอาการที่มีเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากทวารหนัก ถ่ายอุจจาระแล้วมีเลือดหรือลิ่มเลือดปนอยู่ หรือถ่ายอุจจาระออกมาเป็นสีแดงเข้มแล้ว อาจพบอาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับโรคและการเจ็บป่วยที่เป็นสาเหตุของอาการถ่ายเป็นเลือดด้วย

โดยอาการที่อาจพบร่วมกับการถ่ายเป็นเลือด หรืออาจเกิดขึ้นหลังจากถ่ายเป็นเลือด ได้แก่

  • ท้องผูกหรือท้องร่วง
  • เจ็บปวดขณะถ่ายอุจจาระ
  • ปวดเกร็งบริเวณท้อง
  • อ่อนเพลีย น้ำหนักลด
  • คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ
  • หายใจลำบาก ใจสั่น
  • หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม หรืออาจเป็นลมหมดสติได้
  • หน้าซีด ตัวซีด หรือโลหิตจางจากการเสียเลือดเรื้อรัง
  • ความดันโลหิตต่ำ หรือมีภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อลุกขึ้นยืน
  • ในบางรายอาจเสี่ยงเกิดภาวะช็อคจากการเสียเลือดมาก

สาเหตุของอาการถ่ายเป็นเลือด

การขับถ่ายออกมาเป็นเลือดเป็นผลมาจากอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบขับถ่ายได้รับความเสียหาย จึงเกิดภาวะเลือดออก โดยสาเหตุที่มักเป็นที่มาของอาการถ่ายเป็นเลือด ได้แก่

  • ริดสีดวงทวาร
  • มีแผลฉีกขาดที่รูทวารหนักจากการขับอุจจาระที่แข็งตัวจากอาการท้องผูก
  • ทวารหนักและไส้ตรงอักเสบ
  • ลำไส้ใหญ่อักเสบ
  • ถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ
  • มีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ หรือมีการกำจัดติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ออกไป
  • ภาวะลำไส้ขาดเลือด
  • มะเร็งลำไส้ใหญ่

นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุของการถ่ายเป็นเลือดอื่น ๆ ที่พบได้ไม่มากนัก เช่น

  • มีภาวะเลือดออก หรือมีแผลบริเวณช่องท้อง ลำไส้เล็ก หลอดอาหาร หรือกระเพาะอาหาร
  • มีความผิดปกติของเส้นเลือด เส้นเลือดโป่งพอง หรือเส้นเลือดแตก ทำให้มีเลือดไหลเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร
  • กระเพาะอาหารอักเสบ
  • มีเนื้องอกในลำไส้เล็ก
  • มีแผลในลำไส้ตรง

การวินิจฉัยอาการถ่ายเป็นเลือด

เมื่อผู้ป่วยไปพบแพทย์ ในเบื้องต้นแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยด้วยการสอบถามลักษณะและความรุนแรงของอาการ ปริมาณเลือดที่พบ ความบ่อยของการถ่ายเป็นเลือด อาการข้างเคียงที่มี และประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย จากนั้น แพทย์จะทำการตรวจร่างกายโดยเฉพาะระบบทางเดินอาหารและลำไส้ รวมถึงบริเวณทวารหนักหรืออาจตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • การส่องกล้องตรวจทวารหนักและไส้ตรง (Anoscopy) แพทย์จะสอดเครื่องมือที่เป็นกล้องชนิดพิเศษอยู่ที่ส่วนปลายเข้าไปทางทวารหนัก เพื่อตรวจหาความผิดปกติของเนื้อเยื่อภายในไส้ตรงและทวารหนัก
  • การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Flexible Sigmoidoscopy) แพทย์จะใช้เครื่องมือที่เป็นท่อขนาดเล็กที่โค้งงอได้โดยมีกล้องอยู่ที่ส่วนปลายสอดเข้าไปทางทวารหนักเพื่อตรวจหาความผิดปกติภายในลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย
  • การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) แพทย์จะใช้เครื่องมือที่เป็นท่อขนาดเล็กที่มีกล้องติดอยู่ที่ส่วนปลายสอดเข้าไปทางทวารหนักเพื่อตรวจหาความผิดปกติภายในลำไส้ใหญ่
  • การส่องกล้องตรวจช่องท้องและลำไส้เล็ก (Endoscopy) แพทย์จะสอดเครื่องมือที่เป็นท่อและมีกล้องติดอยู่ที่ปลายท่อเข้าไปทางปากของผู้ป่วย เพื่อตรวจหาความผิดปกติภายในช่องท้องไปจนถึงลำไส้เล็ก
  • การตรวจเลือด (Blood Test) แพทย์อาจเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อนำไปตรวจหาความสมบูรณ์ของเลือด หรือตรวจหาการติดเชื้อ และความผิดปกติภายในเซลล์เม็ดเลือด เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการป่วยที่เป็นไปได้
  • การฉายรังสี แพทย์จะฉายรังสีเอกซเรย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุของอาการป่วยจากภาพเอกซเรย์บริเวณช่องท้องและอวัยวะภายในต่าง ๆ โดยแพทย์อาจให้ผู้ป่วยกลืนหรือสวนสารแบเรียมเข้าไปในทางเดินอาหาร เพื่อให้เห็นอวัยวะภายในระบบทางเดินอาหารชัดเจนขึ้น หรือฉีดสารเภสัชรังสีเข้าสู่เส้นเลือดของผู้ป่วยก่อนการเอกซเรย์ (Radionuclide Scanning) เพื่อให้เกิดสีในเส้นเลือด ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัย และหาตำแหน่งที่มีเลือดออกได้ชัดเจนแม่นยำยิ่งขึ้น
  • การตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อ (Biopsy) แพทย์จะใช้เครื่องมือพิเศษสอดเข้าไปด้วยวิธี Endoscopy หรือ Colonoscopy เพื่อตัดตัวอย่างเนื้อเยื่อบางส่วนออกมา แล้วนำตัวอย่างชิ้นเนื้อนั้นไปส่งตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อหาการติดเชื้อหรือความผิดปกติของเซลล์ต่อไป

การรักษาอาการถ่ายเป็นเลือด

หากเป็นอาการถ่ายเป็นเลือด หรือมีเลือดปนเพียงเล็กน้อย อาจเป็นปัญหาสุขภาพที่ไม่รุนแรง เช่น อาการท้องผูก ผู้ป่วยสามารถดูแลรักษาอาการได้ เช่น รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง ดื่มน้ำมาก ๆ ฝึกสุขนิสัยการขับถ่าย และปฏิบัติตามแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันอาการท้องผูก แต่หากถ่ายเป็นเลือดปริมาณมาก หรือถ่ายเป็นเลือดบ่อย ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา โดยแพทย์จะทำการรักษาตามอาการที่ผู้ป่วยเผชิญอยู่ ดังนี้

การเสียเลือดมาก สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการค่อนข้างรุนแรง มีเลือดออกมาก ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ เป็นลม หรืออาจช็อค แพทย์อาจต้องให้เลือดหรือน้ำเกลือเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วยเพื่อทดแทนเลือดที่เสียไป และอาจพิจารณาจ่ายยารักษาให้เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วย

การรักษาที่สาเหตุ แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงแล้วจึงวางแผนการรักษา ซึ่งวิธีการรักษาย่อมขึ้นอยู่กับการเจ็บป่วยที่เป็นต้นเหตุ ความรุนแรงของอาการ และสภาพร่างกายของผู้ป่วยด้วย

ตัวอย่างการรักษาอาการถ่ายเป็นเลือดตามโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น

  • การรักษาแผลที่ทวารหนัก โดยการนั่งแช่น้ำอุ่นจะช่วยบรรเทาแผล และริดสีดวงทวารที่เกิดขึ้น โดยควรรักษาอาการท้องผูกควบคู่ไปด้วย
  • การห้ามเลือด แพทย์จะสอดกล้องพร้อมเครื่องมือพิเศษเข้าไปทางทวารหนักเพื่อตรวจหาตำแหน่งอวัยวะภายในที่เสียหายและมีเลือดออก เพื่อฉีดสารให้เลือดหยุดไหล โดยอาจใช้เลเซอร์ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ยึดปิดเส้นเลือดที่เสียหายและมีเลือดไหล
  • การให้ยา บางโรคแพทย์อาจจ่ายยาเพื่อรักษาอาการ เช่น ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (H. Pylori) ในกระเพาะอาหาร ยาต้านการอักเสบเพื่อรักษาลำไส้ใหญ่อักเสบ
  • การผ่าตัด ในบางกรณี แพทย์อาจต้องทำการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการที่เกิดขึ้น เช่น ผ่าตัดนำติ่งเนื้อออกไป ผ่าตัดนำเนื้อร้ายจากการป่วยมะเร็งออกไป หรือผ่าตัดนำเนื้อเยื่อส่วนที่เสียหายจากการบาดเจ็บหรืออักเสบออกไป

การป้องกันอาการถ่ายเป็นเลือด

ถ่ายเป็นเลือดอาจป้องกันได้ด้วยการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคและการเจ็บป่วยที่อวัยวะภายในระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาการถ่ายเป็นเลือดได้โดย

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ถูกสุขอนามัยและมีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อป้องกันการเกิดอาการท้องผูก ท้องร่วง หรือความเสียหายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับระบบย่อยอาหาร
  • รับประทานพืชผักผลไม้และธัญพืชที่มีเส้นใยสูง
  • ดื่มน้ำสะอาดปริมาณมาก ๆ
  • ฝึกสุขนิสัยในการขับถ่าย
  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์อาจทำปฏิกิริยากับเนื้อเยื่ออวัยวะภายในระบบทางเดินอาหาร เสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร และอาจลดสมรรถภาพในการแข็งตัวของเลือด