Illness name: มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
Description: มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) คือมะเร็งที่เกิดขึ้นกับระบบน้ำเหลือง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน และเป็นระบบที่กระจายอยู่ทั่วร่างกาย ประกอบไปด้วยน้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง และต่อมน้ำเหลือง ทำหน้าที่ป้องกันร่างกายจากเชื้อโรค โดยการทำลายสิ่งมีชีวิตที่ลุกล้ำเข้ามาในร่างกาย เช่น ไวรัส แบคทีเรีย มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถเกิดขึ้นกับระบบน้ำเหลืองทุกบริเวณในร่างกาย อาการบ่งชี้ที่สำคัญ คือ ต่อมน้ำเหลืองบวม โต และมักไม่มีอาการเจ็บร่วมด้วย องค์ประกอบของระบบน้ำเหลือง ระบบน้ำเหลืองประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ดังนี้ ประเภทของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน (Hodgkin's Lymphoma: HL) และมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin's Lymphoma: NHL) โดยมะเร็งทั้ง 2 กลุ่มนี้มีอัตราการแพร่กระจายและอาจมีการตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกัน ดังนั้นในกระบวนการรักษา ชนิดของมะเร็งจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่ต้องวินิจฉัย มะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอนฮอดจ์กิน มักเป็นมะเร็งกลุ่มที่พบในผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองส่วนใหญ่ ดังนั้นหากกล่าวถึงมะเร็งต่อมน้ำเหลือง บทความนี้จึงจะนำเสนอข้อมูลของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอนฮอดจ์กินเป็นหลัก อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการทั่วไปที่บ่งชี้ถึงมะเร็งต่อมน้ำเหลืองคือ เกิดการบวมที่ต่อมน้ำเหลือง ส่วนมากบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ และมักไม่มีอาการเจ็บร่วมด้วย ซึ่งอาการบวมเกิดจากการสะสมของลิมโฟไซต์ที่ผิดปกติในต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้น ๆ ทั้งนี้อาการบวมที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องเป็นอาการบ่งชี้ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเสมอไป แต่อาจบ่งชี้ถึงโรคชนิดอื่นหรือการติดเชื้อบริเวณต่อมน้ำเหลือง ดังนั้นหากพบว่าต่อมน้ำเหลืองมีลักษณะบวม โต ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่ถูกต้องทันที นอกจากการบวม โต ของต่อมน้ำเหลือง ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอาจมีอาการอื่นควบคู่ไปด้วย ดังนี้ สาเหตุของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเกิดขึ้นเมื่อ DNA ของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ในน้ำเหลืองเกิดการกลายพันธุ์ ทำให้ลิมโฟไซต์เปลี่ยนเป็นเซลล์ที่ผิดปกติ และเกิดการแบ่งตัวที่ไม่สามารถควบคุมได้ ถูกสะสมในระบบน้ำเหลือง จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุแท้จริงที่ทำให้ DNA เกิดการกลายพันธุ์และเจริญเป็นเซลล์มะเร็งได้ อย่างไรก็ตาม พบว่ามีปัจจัยบางอย่างที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ ทำให้บุคคลที่ต้องประสบกับปัจจัยต่อไปนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่าบุคคลอื่น การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หากพบความผิดปกติของต่อมน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลืองบวม โต หรือมีอาการที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติของร่างกาย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากมะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่นนอกระบบน้ำเหลืองได้ ฉะนั้นการรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ ขณะที่มะเร็งยังไม่ลุกลาม จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ซึ่งการวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีดังนี้ ระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่แตกต่างกันส่งผลให้การรักษาแตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งมะเร็งได้ออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้ การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั้นแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของมะเร็ง ระยะของมะเร็ง และเป้าหมายในการรักษาเป็นหลัก โดยวิธีการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีดังนี้ ในผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดที่มะเร็งมีการเจริญเติบโตของเซลล์ช้า และผู้ป่วยยังไม่แสดงอาการของโรค แพทย์จะใช้วิธีการตรวจสอบและติดตามอาการเป็นระยะ ๆ ทั้งนี้เพราะการใช้วิธีการรักษาแบบเชิงรุก (Aggressive Therapy) ในทันทีนั้นยังไม่จำเป็น เนื่องจากไม่ได้ส่งผลให้ผู้ป่วยมะเร็งชนิดนี้มีอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น การใช้เคมีบำบัดคือการใช้ยาทางเคมีฆ่าเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยการใช้เคมีบำบัดนั้นมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับตัวยาแต่ละชนิดที่ผู้ป่วยได้รับ บางชนิดมีลักษณะเป็นยาเม็ด บางชนิดต้องใช้การฉีดผ่านหลอดเลือดดำ การใช้ตัวยาชนิดอื่น เช่น การใช้ยาแบบมุ่งเป้า (Targeted Drugs) ซึ่งเป็นการใช้ยาเพื่อไปรบกวนการทำงานของโมเลกุลที่มีความจำเพาะต่อการเจริญเติบโตและแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง หรือการรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) โดยใช้ยาเพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในตัวผู้ป่วย ให้ทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้รังสีรักษาคือการใช้รังสีพลังงานสูง เช่น รังสีเอกซเรย์ หรือรังสีโปรตอน เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งในร่างกาย แพทย์จะปลูกถ่ายไขกระดูก โดยใช้รังสีปริมาณสูงหรือยาทางเคมีกดการทำงานของไขกระดูกของผู้ป่วย เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดกระบวนการต่อต้านไขกระดูกใหม่ที่จะได้รับ ต่อไปจึงนำสเต็มเซลล์ที่ดีเซลล์ใหม่ซึ่งอาจได้มาจากการบริจาคหรือจากตัวผู้ป่วยเอง ฉีดเข้าไปในเลือดเพื่อสร้างไขกระดูกใหม่ ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอาจประสบกับอาการที่นอกเหนือจากอาการทั่วไปที่บ่งชี้การเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เนื่องจากระบบน้ำเหลืองจะกระจายอยู่ทั่วร่างกาย ดังนั้นอาการจึงแตกต่างกันตามอวัยวะในบริเวณที่พบหรือใกล้เคียงเซลล์มะเร็ง โดยอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีดังนี้ การติดตามผลภายหลังการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง ภายหลังเสร็จสิ้นการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง แพทย์จะนัดเพื่อติดตามผลการรักษา ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแต่ละรายจะมีแนวโน้มของผลลัพธ์ในการรักษาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ระยะของมะเร็ง สุขภาพของตัวผู้ป่วย และวิธีการรักษาที่ได้รับ การติดตามผลอาจนานต่อเนื่องหลายปี เพื่อสังเกตว่ามีสัญญาณการกลับมาของมะเร็งหรือไม่ หากผู้ป่วยพบอาการที่ผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองควรปรับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง ดังนี้ นอกจากนั้น ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพศหญิงที่มีอายุไม่เกิน 30 ปี และเคยได้รับการรักษาโดยใช้รังสีรักษา (Radiation Therapy) บริเวณหน้าอก จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมมากกว่าบุคคลที่ไม่เคยได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้มาก่อน จึงควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของเต้านมและเข้ารับการตรวจเต้านม โดยแพทย์จะใช้วิธีตรวจร่างกายเพื่อหาก้อนเนื้อที่ผิดปกติร่วมกับการทำแมมโมแกรม (Mammogram) ซึ่งหากพบสัญญาณของมะเร็ง แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยรับการตรวจพิเศษต่อไป การป้องกันมะเร็งต่อมน้ำเหลือง การป้องกันมะเร็งต่อมน้ำเหลืองยังไม่มีวิธีที่แน่นอน เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยใดออกมาพิสูจน์ถึงสาเหตุของการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่แน่ชัด อีกทั้งบุคคลที่ไม่เข้าข่ายมีปัจจัยเสี่ยง ก็อาจเป็นมะเร็งได้ ดังนั้นควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่ายกาย และรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อพบความผิดปกติ เนื่องจากการรับการรักษาตั้งแต่มะเร็งยังอยู่ในระยะต้น ๆ จะส่งผลให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพมากกว่าการรักษาเมื่อมะเร็งเริ่มลุกลามความหมาย มะเร็งต่อมน้ำเหลือง