Illness name: เริม

Description:

เริม (Herpes)
  • ความหมาย
  • อาการของเริม
  • สาเหตุของเริม
  • การวินิจฉัยโรคเริม
  • การรักษาเริม
  • ภาวะแทรกซ้อนของเริม
  • การป้องกันเริม

ความหมาย เริม (Herpes)

Share:

เริม (Herpes) คืออาการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus) ซึ่งเชื้อไวรัสเริมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ เชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ชนิดที่ 1และเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ชนิดที่ 2 โดยเริมมักเกิดขึ้นบนผิวหนัง 2 บริเวณด้วยกัน นั่นก็คือเริมที่ปาก (Herpes Simplex) และเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) 

เริมเป็นโรคผิวหนังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงแค่รักษาอาการให้สงบลงเท่านั้น เนื่องจากเชื้อไวรัสจะยังคงสะสมอยู่ในปมประสาทของร่างกายและสามารถกลับมาแสดงอาการใหม่อีกครั้งหากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ยิ่งไปกว่านั้น เริมสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ผ่านทางการสัมผัสอย่างใกล้ชิด ทางน้ำลายหรือน้ำเหลือง หรือผ่านทางเพศสัมพันธ์ก็ได้เช่นกัน

อาการของเริม

โดยทั่วไปอาการของเริมที่ปากและเริมที่อวัยวะเพศจะค่อนข้างคล้ายกัน โดยจะเกิดตุ่มน้ำใสบริเวณที่ติดเชื้อ เช่น ริมฝีปาก อวัยวะเพศ ทวารหนัก บั้นท้าย หรือต้นขา รวมถึงมีอาการเจ็บปวดหรือแสบแผลร่วมด้วย หากเป็นการติดเชื้อครั้งแรกจะมีอาการค่อนข้างรุนแรงและหายช้า แต่ถ้าหากเป็นการติดเชื้อซ้ำอาการจะไม่รุนแรงและสามารถหายได้เร็วกว่า

สาเหตุของเริม

เริมมีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus: HSV) ซึ่งเชื้อไวรัสนี้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ผ่านการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง การสัมผัสกับแผล การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ การทำกิจกรรมทางเพศที่ไม่ได้ป้องกัน หรือการใช้ของเล่นทางเพศ (Sex toy) กับผู้ที่ติดเชื้อ ก็สามารถทำให้เกิดเริมได้เช่นกัน

การวินิจฉัยเริม

เริมสามารถวินิจฉัยได้ด้วยการตรวจโดยแพทย์ แต่ถ้าหากแพทย์ไม่แน่ใจว่ารอยโรคที่เกิดขึ้นเป็นอาการของเริมหรือไม่ แพทย์อาจมีการสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด หรือการเพาะเชื้อ เนื่องจากอาการของเริมค่อนข้างคล้ายกับโรคอื่น ๆ เช่น โรคงูสวัด แผลร้อนใน และการติดเชื้อแบคทีเรีย

การรักษาเริม

ปัจจุบันเริมยังไม่สามารถรักษาให้หายสนิทได้ ส่วนแผลจากรอยโรคของเริมจะสามารถหายเองได้ภายในเวลา 2–6 สัปดาห์ การรักษาเริมจึงแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

  • การบรรเทาอาการเจ็บปวด โดยใช้บรรเทาอาการปวดทั่วไป เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol)
  • การควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส โดยใช้ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) หรือยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส และช่วยลดความรุนแรงของอาการ โดยตัวยามักอยู่ในรูปแบบของยารับประทานหรือยาทาชนิดครีม

ภาวะแทรกซ้อนของเริม

ทั้งเริมที่ปากและเริมที่อวัยวะเพศสามารถนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เนื่องจากอาจทำให้เกิดการติดเชื้อลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อที่บริเวณดวงตาทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือการติดเชื้อที่สมองจนทำให้เกิดสมองอักเสบ แต่การติดเชื้อที่สมองนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในบางกรณีเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่ตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเริมที่อวัยวะเพศและมีอาการแสดงในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด อาจทำให้ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กได้ทั้ง 2 ชนิด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเด็ก และอาจส่งผลกระทบร้ายแรงจนทำให้เสียชีวิตได้ด้วย ดังนั้นผู้ที่ตั้งครรภ์ที่เคยติดเชื้อเริมควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

การป้องกันเริม

วิธีการป้องกันเริมที่ดีที่สุดก็คือการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การติดเชื้อทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ของใช้ร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ หรือการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโดยตรงอย่างการหอมแก้มและการจูบ นอกจากนี้ การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยด้วยการใช้ถุงยางอนามัยก็อาจช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ได้

สำหรับผู้ป่วยที่เคยเกิดการติดเชื้อมาก่อนแล้ว ควรดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเนื่องจากเชื้อไวรัสจะโจมตีร่างกายเมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ แต่ถ้าหากคุณดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอก็อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเริมได้

อาการของเริม เริม (Herpes)