Illness name: กลุ่มอาการ pms premenstrual syndrome
Description: PMS (Premenstrual Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นก่อนมีประจำเดือน ซึ่งทำให้เกิดอาการทั้งทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม PMS พบได้มากถึงร้อยละ 85 ในผู้หญิงที่มีประจำเดือน โดยมักสังเกตเห็นอาการได้ในช่วงก่อนมีประจำเดือนประมาณ 1–2 สัปดาห์ และอาการจะหายไปเมื่อประจำเดือนมา PMS มักไม่ทำให้เกิดอาการร้ายแรง แต่ในบางกรณีอาจนำไปสู่อาการร้ายแรงอย่าง Premenstrual Dysphoric Disorder (PMDD) ซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจและการควบคุมอารมณ์ จึงอาจรบกวนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน หรือกระทบต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ โดยการดูแลตนเองและการรับประทานยาในช่วงก่อนมีประจำเดือนตามที่แพทย์แนะนำอาจช่วยบรรเทาอาการของ PMS ได้ ผู้ที่มีอาการ PMS แต่ละคนอาจพบอาการและความรุนแรงที่แตกต่างกัน และอาการที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนอาจไม่ซ้ำกัน ทั้งนี้ ผู้ที่มีอาการ PMS มักพบอาการต่าง ๆ ก่อนมีประจำเดือนประมาณ 5 วัน ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 3 รอบของการมีประจำเดือน โดยอาการมักดีขึ้นภายใน 4 วันหลังจากเริ่มมีประจำเดือน PMS อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายต่อไปนี้ PMS อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และพฤติกรรมดังต่อไปนี้ หากใช้วิธีดูแลตนเองแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรืออาการเหล่านี้กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เนื่องจาก PMS อาจพัฒนาไปสู่ PMDD ซึ่งเป็นอาการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิตใจและอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล โกรธ และอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง แม้ว่าจะยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิด PMS ที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศและปัจจัยอื่น ๆ ดังนี้ นอกจากนี้ปัจจัยอื่นที่อาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการ PMS ได้แก่ PMS อาจไม่มีวิธีวินิจฉัยอาการได้โดยตรง แต่แพทย์อาจเริ่มจากการสอบถามอาการ ระยะเวลาและความถี่ของการเกิดอาการ ซึ่งอาจสัมพันธ์กับช่วงรอบเดือน นอกจากนี้ แพทย์อาจซักถามประวัติสุขภาพและประวัติการรักษาของผู้ป่วยและคนในครอบครัว แพทย์อาจให้ผู้ป่วยจดบันทึกอาการที่เกิดขึ้นเป็นเวลาอย่างน้อย 2 รอบของการมีประจำเดือน โดยจดวันที่เริ่มมีประจำเดือนและวันที่ประจำเดือนหมดในเดือนนั้น ๆ รวมทั้งวันแรกเริ่มมีอาการ PMS และวันที่อาการหายไป หากผู้ป่วยมีอาการในช่วงเวลาใกล้เคียงกันในแต่ละเดือน แพทย์อาจวินิจฉัยว่าเป็นอาการที่เกิดจาก PMS ทั้งนี้อาการของ PMS อาจคล้ายกับอาการของโรคอื่น ๆ เช่น กลุ่มอาการความล้าเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome) โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome) ภาวะโลหิตจาง (Anemia) ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ภาวะความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ โรคซึมเศร้า และโรควิตกกังวล แพทย์จึงอาจตรวจร่างกายด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด การตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ การตรวจการตั้งครรภ์ และการตรวจภายใน เพื่อตัดสาเหตุที่ไม่เกี่ยวข้องออก โดยทั่วไปการปรับพฤติกรรมของผู้ป่วยอาจช่วยบรรเทาอาการ PMS ได้ แต่หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงและอาการไม่ดีขึ้นหลังการดูแลตนเอง แพทย์อาจสั่งจ่ายยาและรักษาด้วยวิธีการอื่น ดังนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความรุนแรงของอาการไม่มากนัก การดูแลตนเองด้วยวิธีการเหล่านี้ อาจช่วยให้อาการ PMS ดีขึ้น ยาที่ใช้บรรเทาอาการ PMS ประกอบด้วยยาที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป และยาที่แพทย์สั่งจ่าย ดังนี้ การรักษาอาการ PMS ในผู้ป่วยบางรายอาจใช้การรักษาด้วยวิธีการอื่น ๆ เช่น การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการ และการบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy) ซึ่งช่วยจัดการกับสภาวะอารมณ์ในแง่ลบที่เกิดจาก PMS และช่วยลดการรับประทานยาที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายของผู้ป่วย โดยทั่วไป PMS มักไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรงและไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน แต่ในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการ PMS อย่างรุนแรง อาจเกิดอาการ PMDD ได้ ซึ่งจะกระทบต่อสภาวะอารมณ์ เช่น วิตกกังวลและอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง ซึมเศร้า และอาจมีความคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ PMS เป็นกลุ่มอาการที่ไม่มีวิธีป้องกันโดยตรง แต่การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิด PMS ได้ โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาล เกลือ และไขมันสูง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ผ่อนคลายความเครียดด้วยกิจกรรมต่าง ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอความหมาย กลุ่มอาการ PMS (Premenstrual Syndrome)
อาการของ PMS
อาการทางร่างกาย
อาการทางอารมณ์และพฤติกรรม
สาเหตุของ PMS
การวินิจฉัย PMS
การรักษา PMS
การดูแลตนเอง
การใช้ยา
การรักษาด้วยวิธีการอื่น
ภาวะแทรกซ้อนของ PMS
การป้องกัน PMS