Illness name: ภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง dysthymia
Description: Dysthymia หรือภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง เป็นภาวะซึมเศร้าชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยอาจมีอาการซึมเศร้า สิ้นหวัง ไม่มั่นใจในตนเอง หรือขาดความสนใจในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยความรุนแรงของอาการอาจไม่เท่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้า แต่จะเกิดขึ้นอย่างเรื้อรังเป็นระยะเวลาหลายปีจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการเรียน การทำงาน หรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง โดยส่วนใหญ่อาการของ Dysthymia มักเริ่มเกิดในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่น และบางคนอาจเป็นโรคทางอารมณ์ (Mood Disorder) หรือโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ร่วมด้วย อย่างโรคซึมเศร้า (Major Depression) ซึ่งการรักษาผู้ป่วย Dysthymia ที่แพทย์มักใช้และได้ผลดีที่สุดคือการใช้ยาร่วมกับการทำจิตบำบัด (Psychotherapy) ผู้ที่ป่วยเป็น Dysthymia มักมีอาการหลัก คือ อารมณ์เศร้าหมองหรือรู้สึกหดหู่อยู่บ่อย ๆ โดยเป็นอย่างเรื้อรังนานเกิน 2 ปี ในผู้ใหญ่หรือ 1 ปี ในเด็กและวัยรุ่น ซึ่งอาการแต่ละครั้งจะมีความรุนแรงต่างกันและไม่ทิ้งช่วงนานเกิน 2 เดือน ในบางกรณีอาจพบอาการซึมเศร้าชนิดรุนแรงร่วมด้วย นอกจากนี้ผู้ที่ป่วยเป็น Dysthymia อาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยอาการอาจไม่รุนแรงแต่จะเกิดขึ้นอย่างเรื้อรัง เช่น ในกรณีที่ Dysthymia เกิดขึ้นในเด็กหรือวัยรุ่น อาจพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มักแสดงอาการฉุนเฉียวหรือโกรธง่ายมากกว่าอาการซึมเศร้า และอาจพบความผิดปกติในด้านต่าง ๆ เช่น มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม มีปัญหาในด้านการเรียน หรือเข้ากับเด็กคนอื่น ๆ ยาก เป็นต้น เนื่องจากอาการต่าง ๆ มักเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ผู้ป่วยจึงอาจเข้าใจผิดว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ ดังนั้น หากเกิดอาการซึมเศร้า หดหู่ หรืออาการในข้างต้นบ่อย ๆ ควรไปพบแพทย์หรือจิตแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม แต่หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดสังเกตเห็นสัญญาณที่เป็นอันตราย อย่างการฆ่าตัวตาย ให้รีบพาไปพบแพทย์ทันที โดยอาจสังเกตได้จากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น นำของใช้ส่วนตัวไปให้ผู้อื่น พยายามจัดการธุระส่วนตัว พูดเกี่ยวกับการหายตัวไป ความตาย หรือการฆ่าตัวตายอยู่บ่อย ๆ มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง หลีกเลี่ยงการพบปะเพื่อนฝูงหรือการเข้าสังคม หรือมีพฤติกรรมบางอย่างเปลี่ยนไป เป็นต้น ในปัจจุบัน ทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดที่ส่งผลให้เกิด Dysthymia แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ในกรณีผู้สูงวัย การเกิด Dysthymia มักเป็นผลมาจากโรคบางชนิด กระบวนการรับรู้ลดลง การสูญเสียบุคคลใกล้ชิด ความพิการ หรือระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกายต่ำ นอกจากนี้ Dysthymia อาจพบได้มากในผู้หญิง หรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง อย่างเด็ก เด็กวัยรุ่น หรือคนวัยหนุ่มสาว เนื่องจากอาการส่วนใหญ่มักเริ่มเกิดในช่วงอายุดังกล่าว และอาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยง หากมีปัจจัยบางอย่างเป็นตัวกระตุ้น เช่น พ่อหรือแม่มีประวัติเป็น Dysthymia หรือภาวะซึมเศร้าชนิดอื่น เคยผ่านเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง มีประวัติการเกิดโรคทางจิตเวช หรือมีลักษณะนิสัยบางอย่าง อย่างขาดความมั่นใจในตนเอง ชอบตำหนิตนเอง หรือมองโลกในแง่ร้าย เป็นต้น ในการวินิจฉัยโรคซึมเศร้าเรื้อรังเบื้องต้น แพทย์จะสอบถามประวัติและอาการผิดปกติต่าง ๆ ของผู้ป่วย โดยเฉพาะประวัติการเกิดโรคทางจิตเวชของผู้ป่วยและบุคคลในครอบครัว หากมีความเป็นไปได้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง โดยในผู้ใหญ่มักพบว่ามีอาการซึมเศร้าบ่อย ๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2 ปีขึ้นไป หรือเด็กมักจะมีอาการซึมเศร้าบ่อย ๆ ฉุนเฉียว หรือโกรธง่ายผิดปกตินานกว่า 1 ปีขึ้นไป แพทย์จะตรวจด้วยวิธีต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น หากผู้ป่วยไม่มีโรคทางกายใด ๆ ที่เป็นสาเหตุ แพทย์อาจประเมินอาการทางจิตเพิ่มเติม โดยการพูดคุยเกี่ยวกับความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้ป่วย รวมถึงอาจให้ทำแบบทดสอบบางอย่าง เพื่อวินิจฉัยแยกโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดอาการใกล้เคียงกัน อย่างโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง โรคไบโพลาร์ หรือโรคซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ซึ่งหากผู้ป่วยมีแนวโน้มว่าเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์เฉพาะทางหรือจิตแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมหรือการรักษาที่เหมาะสม ในการรักษาโรคซึมเศร้าเรื้อรัง แพทย์มักใช้วิธีการรักษาด้วยยา การทำจิตบำบัด (Psychotherapy) หรืออาจใช้ทั้ง 2 วิธีร่วมกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น สาเหตุและความรุนแรงของอาการ หรือความเหมาะสม เป็นต้น ยาต้านเศร้าที่แพทย์มักใช้ในการรักษา เช่น ในการรักษาโรคซึมเศร้าเรื้อรังด้วยยา ผู้ป่วยอาจต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนหายาที่เหมาะสม เนื่องจากยาบางชนิดอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือนานกว่านั้นในการออกฤทธิ์หรือการปรับตัวต่อผลข้างเคียงของยา และผู้ป่วยไม่ควรหยุดใช้ยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากการหยุดยาอย่างกะทันหันอาจส่งผลให้ภาวะซึมเศร้าแย่ลง หรือเกิดอาการถอนยาได้ นอกจากนี้ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ก่อน เช่น อย่างไรก็ตาม บุคคลรอบข้างของผู้ป่วยควรหมั่นสังเกตอาการของผู้ป่วยหลังจากใช้ยาต้านเศร้าอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนชนิดของยา หรือช่วงที่แพทย์ปรับปริมาณยา หากเริ่มเห็นว่าผู้ป่วยมีสัญญาณอันตราย อย่างการฆ่าตัวตาย ให้รีบพาไปพบแพทย์ทันที จิตบำบัดเป็นวิธีที่แพทย์จะพูดคุยและให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจและสามารถรับมือกับอาการต่าง ๆ อย่างเหมาะสม โดยแพทย์จะเลือกวิธีบำบัดตามความเหมาะสมต่อผู้ป่วยแต่ละคน เช่น การรักษาโรคซึมเศร้าเรื้อรังเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานาน ผู้ป่วยจึงควรไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ และแม้ว่าโรคซึมเศร้าเรื้อรังจะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยตัวเอง แต่ผู้ป่วยอาจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างเพื่อช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น ควรไปพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทำงานอดิเรกที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือการใช้สารเสพติด เป็นต้น ผู้ป่วย Dysthymia ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ เช่น นอกจากนี้ Dysthymia อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วย อย่างขาดแรงจูงใจในการใช้ชีวิต มีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว รวมถึงประสิทธิภาพในการทำงานหรือการเรียนลดลง เนื่องจากทางการแพทย์ในปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกการเกิด Dysthymia ที่แน่ชัด การป้องกันจึงอาจทำได้ยาก แต่อาจลดความเสี่ยงในการเกิดอาการที่รุนแรงได้ เช่น หาวิธีที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด ปรึกษาเพื่อน หรือคนในครอบครัวเมื่อเกิดปัญหา หมั่นสังเกตอาการตัวเองหรือคนใกล้ตัว โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง อย่างเด็กหรือวัยรุ่น และควรไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ หากพบอาการผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณของโรค เป็นต้นความหมาย ภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง (Dysthymia)
อาการของ Dysthymia
สาเหตุของ Dysthymia
การวินิจฉัย Dysthymia
การรักษา Dysthymia
การรักษาด้วยยา
จิตบำบัด
ภาวะแทรกซ้อนของ Dysthymia
การป้องกัน Dysthymia