Illness name: โรคหลายบุคลิก dissociative identity disorder
Description: โรคหลายบุคลิก หรือโรคหลายอัตลักษณ์ (Dissociative Identity Disorder) เป็นโรคทางจิตเวชรูปแบบหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยมีอัตลักษณ์หรือบุคลิกมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป ซึ่งจะสลับสับเปลี่ยนไปมาในตนเอง โดยระบบความจำ การรับรู้ ความคิด และความรู้สึกมักแยกขาดออกจากกัน ผู้ป่วยบางรายจึงอาจไม่สามารถจดจำตนเองได้เมื่ออีกอัตลักษณ์หนึ่งปรากฏออกมาแทนที่ สาเหตุของโรคหลายบุคลิกมักเกิดจากการได้รับความกระทบกระเทือนทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง อย่างการถูกทำร้ายหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศในวัยเด็ก เมื่อผู้ป่วยต้องเจอกับเหตุการณ์ที่รุนแรง สมองจึงสร้างกลไกป้องกันตัวเองโดยเปลี่ยนเป็นอีกอัตลักษณ์เพื่อตัดขาดจากความทรงจำและตัวตนเดิม อย่างไรก็ตาม โรคหลายบุคลิกเป็นโรคที่พบได้ยาก แต่สามารถพบได้ในทุกช่วงวัยและมักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย นอกจากนี้ อาการของผู้ป่วยอาจมีตั้งแต่ไม่รุนแรงไปจนถึงอาการร้ายแรงที่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อัตลักษณ์เป็นสิ่งที่อยู่ภายในเพื่อกำหนดความเป็นตัวตนและบุคลิกภาพของแต่ละคน คนทั่วไปจะมีเพียงอัตลักษณ์เดียว แต่ในผู้ป่วยโรคหลายบุคลิกอาจมีสองอัตลักษณ์หรือมากกว่านั้นผสมกันอยู่ในตัว โดยแต่ละอัตลักษณ์ในตัวผู้ป่วยอาจมีชื่อ เพศ อายุ หรืออุปนิสัยแตกต่างกันไป และจะสับเปลี่ยนกันเข้าควบคุมความคิด การรับรู้ต่อสภาพแวดล้อม และพฤติกรรมโดยไม่รู้ตัว ผู้ป่วยโรคหลายบุคลิกอาจมีลักษณะอาการต่อไปนี้ นอกจากนี้ อาจพบอาการอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดเมื่อยตามร่างกาย อารมณ์แปรปรวน เบื่ออาหาร มีอาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้า เป็นต้น ผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าโรคหลายบุคลิกอาจเกิดจากการได้รับความกระทบกระเทือนทางร่างกายและจิตใจมาก่อน ส่วนใหญ่มักเกิดจากการถูกทำร้ายร่างกาย จิตใจ หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ นอกจากนี้ อาจเกิดขึ้นหลังการประสบเหตุการณ์ร้ายแรง เช่น อุบัติเหตุ ภัยพิบัติ การจากไปของคนในครอบครัว หรือการถูกทอดทิ้งเป็นระยะเวลานาน เป็นต้น โรคหลายบุคลิกจึงอาจเป็นวิธีการรับมือที่ผู้ป่วยสร้างขึ้นโดยไม่รู้ตัวเพื่อตัดขาดตนเองจากสถานการณ์ตึงเครียด หรือพยายามแยกความทรงจำอันเลวร้ายออกจากชีวิต ในบางกรณี การสร้างอัตลักษณ์ที่แตกต่างขึ้นมาอาจเป็นกลไกการป้องกันตัวจากความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจจากเหตุการณ์ที่เคยพบเจอในอดีตแม้จะไม่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นซ้ำอีกในปัจจุบัน ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคหลายบุคลิก ได้แก่ ความเครียด อาการเจ็บป่วย และการนึกถึงประสบการณ์อันเลวร้ายในวัยเด็กของตัวเองเมื่อเห็นลูกในวัยเดียวกัน การวินิจฉัยโรคหลายบุคลิกอาจใช้ระยะเวลานานกว่าจะได้ข้อสรุป เนื่องจากต้องพิจารณาตัดโรคอื่นที่มีอาการคล้ายคลึงกันออกไป โดยทั่วไป การวินิจฉัยจะประกอบด้วยการสอบถามอาการ ประวัติสุขภาพของผู้ป่วย และตรวจร่างกายด้วยวิธีต่าง ๆ โดยอาจใช้วิธีตรวจเลือด การเอกซเรย์ หรือการทำเอ็มอาร์ไอ (MRI) เพื่อตัดสาเหตุอื่นออกไปที่อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการคล้ายโรคหลายบุคลิก เช่น ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ มีปัญหากับการนอนหลับ หรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับสมอง เป็นต้น หากไม่พบความผิดปกติทางร่างกาย แพทย์อาจวินิจฉัยด้วยการตรวจทางจิตเวช (Psychiatric Exam) โดยถามคำถามเกี่ยวกับความคิด ความรู้สึก พฤติกรรม มีการพูดคุยเรื่องอาการของผู้ป่วย และสอบถามประวัติครอบครัวและคนใกล้ชิดด้วยความยินยอมของผู้ป่วย นอกจากนี้ จิตแพทย์จะใช้เกณฑ์ตามคู่มือการวินิจฉัยและสถิติของความผิดปกติทางจิต ฉบับที่ 5 (DSM-5) ของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน เพื่อประเมินและวินิจฉัยโรคหลายบุคลิก ได้แก่ เป้าหมายของการรักษาโรคหลายบุคลิกคือ การยับยั้งอาการเพื่อเพิ่มความปลอดภัยต่อตัวผู้ป่วยเองและคนรอบข้าง รวมถึงเชื่อมโยงอัตลักษณ์หรือบุคลิกที่หลากหลายให้รวมเป็นอัตลักษณ์เดียว และช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข โดยปัจจัยสำคัญในการรักษาโรคหลายบุคลิกคือการเข้ารับการบำบัดกับจิตแพทย์ คนรอบข้างควรทำความเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ผู้ป่วยเป็น ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยไม่เกิดการต่อต้านและเข้ารับการรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ วิธีการรักษาอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับอาการ ความรุนแรง และปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการของผู้ป่วย โดยใช้หลายวิธีผสมผสานกัน ดังนี้ เป็นวิธีการรักษาหลักของโรคหลายบุคลิก จิตแพทย์จะพูดคุยเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วยและช่วยให้ผู้ป่วยพูดคุยเกี่ยวกับความทรงจำอันเลวร้ายได้ดีขึ้นผ่านการเรียนรู้สาเหตุของอาการ วิธีรับมือในสถานการณ์ตึงเครียด และวิธีพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างเหมาะสม เป็นวิธีที่เน้นการทำความเข้าใจสาเหตุ พร้อมกำหนดเป้าหมายในการบำบัดรูปแบบความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมที่เป็นปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม และฝึกฝนให้ผู้ป่วยมีทักษะในการจัดการกับปัญหาของตนเองได้ดียิ่งขึ้น การรักษาโรคหลายบุคลิกด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น จิตบำบัดแบบอีเอ็มดีอาร์ (Eye Movement Desensitization and Reprocessing Therapy) พฤติกรรมบำบัด ครอบครัวบําบัด สมาธิบำบัด สะกดจิตบำบัด และดนตรีบำบัด เป็นต้น เนื่องจากไม่มียาที่รักษาโรคหลายบุคลิกได้โดยตรง แต่หากผู้ป่วยมีอาการอื่นที่เกี่ยวข้อง อย่างอาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้า ผู้ป่วยอาจได้รับยาต้านเศร้า (Antidepressant) ยารักษาโรควิตกกังวล หรือยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotic Drug) ตามดุลยพินิจของแพทย์ โรคหลายบุคลิกอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย เช่น โรคหลายบุคลิกสันนิษฐานว่ามีปัจจัยเสี่ยงมาจากการถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจในวัยเด็ก อย่างการใช้ความรุนแรงหรือการล่วงละเมิดทางเพศ การป้องกันไม่ให้เด็กถูกทำร้ายจึงอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลายบุคลิกได้ หากผู้ปกครองมีความเครียดหรือมีปัญหาส่วนตัวใด ๆ ที่กระทบต่อการเลี้ยงดูลูก ควรปรึกษาบุคคลที่ไว้ใจได้ โดยอาจเป็นเพื่อนสนิท แพทย์ประจำตัว นักจิตวิทยา หรือหากพบว่าลูกถูกทำร้ายร้ายกาย ประสบอุบัติเหตุ หรือเคยได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมาก่อน ควรพาไปพบแพทย์ทันที เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจและเรียนรู้วิธีการจัดการกับอารมณ์และความคิดของตนเองอย่างเหมาะสมความหมาย โรคหลายบุคลิก (Dissociative Identity Disorder)
อาการของโรคหลายบุคลิก
สาเหตุของโรคหลายบุคลิก
การวินิจฉัยโรคหลายบุคลิก
การรักษาโรคหลายบุคลิก
จิตบำบัด (Psychotherapy)
การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive behavioral therapy)
การบำบัดในรูปแบบอื่น
การใช้ยา
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหลายบุคลิก
การป้องกันโรคหลายบุคลิก