Illness name: การวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่

Description:

ไข้หวัดใหญ่
  • ความหมาย
  • อาการของไข้หวัดใหญ่
  • สาเหตุของไข้หวัดใหญ่
  • การวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่
  • การรักษาไข้หวัดใหญ่
  • ภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่
  • การป้องกันไข้หวัดใหญ่

การวินิจฉัย ไข้หวัดใหญ่

Share:

การวินิจฉัยโรคไข้หวัดใหญ่สามารถทำได้ ดังนี้

การวินิจฉัยด้วยตนเอง

ผู้ป่วยสามารถสังเกตอาการป่วยของตนเอง หากพบว่ามีไข้สูง หนาวสั่น ไอ เจ็บคอ เป็นหวัด คัดจมูก ปวดหัว และอ่อนเพลีย อาจคาดได้ว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรสังเกตอาการบ่งชี้ของภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงด้วย ซึ่งหากมีอาการดังต่อไปนี้ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เช่น อาการปอดบวม การติดเชื้อที่หู หอบหืด หลอดลมอักเสบ เป็นต้น

การวินิจฉัยโดยแพทย์

แพทย์จะตรวจร่างกายและตรวจอาการป่วยเพื่อวางแผนรักษาตามอาการ ส่วนการตรวจทางห้องปฏิบัติการจะถูกนำมาใช้ต่อเมื่อแพทย์มีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการป่วย และต้องการยืนยันผลการวินิจฉัยอย่างแน่ชัด เช่น

  • Rapid Influenza Diagnosis Tests (RIDTs) แพทย์จะเก็บตัวอย่างเชื้อจากน้ำมูกในจมูกหรือเสมหะในลำคอของผู้ป่วยไปตรวจ เป็นวิธีที่ทราบผลการตรวจอย่างรวดเร็วภายใน 30 นาที แต่วิธีการนี้ไม่สามารถตรวจพบไวรัสที่มีความเข้มข้นต่ำได้ และสามารถแยกไวรัสได้เพียงชนิด A และ B เท่านั้น ในบางครั้งผู้ป่วยจึงยังติดเชื้อแม้จะมีผลตรวจออกมาเป็นลบ
  • Reverse Transcription-Polymerase Chain Reaction (RT-PCR) เป็นการเก็บสารคัดหลั่งในโพรงจมูกหรือในลำคอของผู้ป่วย แล้วนำเชื้อในสารคัดหลั่งไปเพาะเลี้ยง ซึ่งมักทำเมื่อตรวจไม่พบเชื้อในกรณีที่ใช้ชุดทดสอบแบบแรก แต่แพทย์ยังคงสงสัยว่าได้รับเชื้อจริงหรือจำเป็นต้องได้รับการยืนยันที่แน่นอนเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งจำเป็นต้องรอผลการเพาะเชื้อประมาณ 3‒7 วัน
  • Fluorescent Antibody เป็นการตรวจหาแอนติเจนของไวรัสไข้หวัดใหญ่ผ่านการส่องกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งหากพบจุลชีพของไวรัส จะมองเห็นเป็นจุดเรืองแสง
สาเหตุของ ไข้หวัดใหญ่
การรักษา ไข้หวัดใหญ่