Illness name: การรักษาเอดส์

Description:

เอดส์
  • ความหมาย
  • อาการของเอดส์
  • สาเหตุของเอดส์
  • การวินิจฉัยเอดส์
  • การรักษาเอดส์
  • ภาวะแทรกซ้อนของเอดส์
  • การป้องกันเอดส์

การรักษา เอดส์

Share:

ในการรักษาเอดส์นั้น ปัจจุบันยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาใดที่จะกำจัดเชื้อเอชไอวีให้หมดไปได้ แต่มียาที่จะช่วยชะลอการพัฒนาของโรค คือ ยาต้านเอชไอวี หรือยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretrovirals: ARVs) ซึ่งแพทย์จะจ่ายยาภายใต้การพิจารณาการตอบสนองต่อยาแต่ละชนิด และจะจ่ายยารักษาทันทีเมื่อปริมาณของ CD4 อยู่ที่ระดับ 350 เซลล์/ลูกบาศก์เมตร หรือต่ำกว่า

หากผู้ป่วยได้รับยาตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกที่ได้รับเชื้อ ยาจะออกฤทธิ์ควบคุมไม่ให้ไวรัสมีการแพร่กระจายและพัฒนาไปสู่การเจ็บป่วยในขั้นที่รุนแรงอย่างเอดส์ โดยการรับประทานยาแบบที่คนไทยคุ้นเคยกันดี คือ PEP (Post-exposure Prophylaxis) เปรียบเสมือนเป็นยาฉุกเฉินที่ต้องรับประทานหลังอาจได้รับเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย ส่วนวิธีการใช้ยา มีทั้งแบบใช้ยาต้านรีโทรไวรัสตัวเดียว (ARVs) หรือใช้ยาต้านร่วมกันหลายตัว (Antiretroviral Therapy: ART)

ยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretrovirals: ARVs) จะช่วยยับยั้งไม่ให้เซลล์ของไวรัสมีการแบ่งตัวขยายตัวแล้วแพร่กระจายลุกลามไปสร้างความเสียหายแก่เซลล์เนื้อเยื่ออวัยวะบริเวณอื่น ๆ ต่อไปได้

กลุ่มยาของยาต้านรีโทรไวรัส

  • Non-nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs): ได้แก่ ยาเอฟฟาไวเรนซ์ (Efavirenz) และเนวิราปีน (Nevirapine)
  • Nucleoside หรือ Nucleotide Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) เช่น ยาอาบาคาเวียร์ (Abacavir) ยาที่ใช้ร่วมกันอย่างทีโนโฟเวียร์ (Tenofovir) กับเอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine) และลามิวูดีน (Lamivudine) กับซิโดวูดีน (Zidovudine)
  • Protease Inhibitors (PIs): ยายับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส เช่นยาอะทาซานาเวียร์ (Atazanavir) และอินดินาเวียร์ (Indinavir)

และยากลุ่มใหม่อื่น ๆ ที่อาจถูกนำมาใช้ เช่น

  • Entry หรือ Fusion Inhibitors: ยายับยั้งไม่ให้ไวรัสจับตัวหรือเข้าสู่เซลล์เป้าหมาย (เซลล์เม็ดเลือดขาว CD4) เช่น เอนฟูเวอไทด์ (Enfuvirtide) และมาราไวรอค (Maraviroc)  
  • Integrase Inhibitors: ยายับยั้งกระบวนการทำงานของเอนไซม์อินทีเกรส เช่น ราลทีกราเวียร์ (Raltegravir) เอลวิทีกราเวียร์ (Elvitegravir) และโดลูทีกราเวียร์ (Dolutegravir)

ส่วนใหญ่แพทย์จะรักษาด้วยการจ่ายยาต้านร่วมกันหลายตัว (Antiretroviral Therapy: ART) เป็นการให้ยาต้ามรีโทรไวรัสตั้งแต่ 3 ตัวยา จาก 2 กลุ่มยาข้างต้นขึ้นไป เพราะไวรัสเอชไอวีสามารถแบ่งตัวแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว เชื้อจะดื้อยาได้ง่าย หากได้รับยาเพียงแค่ตัวเดียว หรือแพทย์อาจจ่ายยาสูตรผสม (Fixed Dose Combination) ซึ่งเป็นการรวมยาต้านเอชไอวีหลายชนิดไว้ในยาเม็ดเดียว

ส่วน PEP (Post-exposure Prophylaxis) เป็นการรับประทานยาต้านเอชไอวีแบบใช้ยาต้านร่วมกันหลายตัวตามใบสั่งแพทย์ โดยต้องรับประทานยาให้เร็วที่สุดหลังได้รับเชื้อภายใน 72 ชั่วโมง ยาจะมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการติดเชื้อและการแพร่กระจายของเชื้อ อย่างการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับผู้ที่ติดเชื้อ โดยผู้ที่ใช้ยา PEP ต้องรับประทานยา 1-2 ครั้ง/วัน ต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลา 28 วัน

โดยทั่วไป ผู้ป่วยที่มีเชื้อเอชไอวีควรเข้ารับการตรวจหาปริมาณ CD4 ทุก ๆ 3-6 เดือน และรับประทานยารักษาอย่างถูกต้องต่อเนื่อง แม้จะรับประทานยาควบคุมไวรัสไม่ให้พัฒนาไปยังระยะที่รุนแรงขึ้นได้ แต่เชื้อเอชไอวีจะยังคงอยู่ในร่างกาย และยังสามารถติดต่อไปยังบุคคลอื่นได้หากไม่มีการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ผู้ป่วยจึงต้องเข้ารับการรักษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอาการป่วยอย่างรุนแรง ผู้ที่มีโรคแทรกซ้อนที่เป็นการติดเชื้อแบบฉวยโอกาส (เมื่อภูมิคุ้มกันบกพร่อง) ผู้ติดเชื้อที่ตั้งครรภ์ ผู้ที่ป่วยโรคเกี่ยวกับไตอันเป็นผลมาจากการติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยที่กำลังรักษาตับอักเสบ บี หรือ ซี อยู่ในขณะนั้น หรือผู้ป่วยที่มีค่า CD4 ต่ำกว่า 350 เซลล์/ลูกบาศก์เมตร

ส่วนผู้ป่วยที่อยู่ในระยะเอดส์แล้ว  การติดเชื้อเอชไอวีไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และเมื่อพัฒนาสู่ระยะเอดส์ ภูมิคุ้มกันร่างกายจะทำงานบกพร่องอย่างหนัก ทำให้เกิดการติดเชื้อและเจ็บป่วยจนร่างกายอ่อนแอและถึงแก่ชีวิตได้ในที่สุด ผู้ป่วยที่พัฒนาไปสู่ระยะเอดส์จึงควรไปพบแพทย์อยู่เสมอ เพื่อรับยาและรักษาอาการป่วยแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น โดยมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

การดูแลผู้ป่วยเอดส์ต้องให้ความสำคัญทั้งในด้านสภาพร่างกายและสภาพจิตใจไปพร้อม ๆ กัน โดยขั้นตอนสำคัญในการดูแลผู้ป่วยเอดส์ ได้แก่

  • เตรียมความพร้อม ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเอดส์และการดูแลผู้ป่วยเอดส์ ผู้ดูแลควรดูแลตนเองให้มีสุขภาพดีแข็งแรงสมบูรณ์ก่อน อย่างการรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ แล้วควรศึกษาลักษณะของโรค การติดต่อของเชื้อ และการดูแลตามอาการที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ผู้ดูแลและผู้ที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย เนื่องจากหลาย ๆ คนอาจยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวี ทำให้เกิดความวิตกกังวลที่ผิดไปจากความเป็นจริง และอาจกระทบต่อสภาพจิตใจของทั้งบุคคลรอบข้างและตัวผู้ป่วยเองได้
  • ใส่ใจเรื่องอาหารผู้ป่วย นอกเหนือจากการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์แล้ว ผู้ดูแลควรใส่ใจจัดเตรียมในเรื่องอาหารเป็นพิเศษ โดยเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงในปริมาณที่เหมาะสมให้ผู้ป่วยบริโภค เช่น ผักและผลไม้ที่สะอาดปลอดสารพิษ เนื้อสัตว์ปรุงสุก หลีกเลี่ยงอาหารดิบ หากผู้ป่วยมีอาการข้างเคียงจากการรับประทานอาหารใด ๆ ควรรีบพาผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจากแพทย์
  • เฝ้าระวังการติดเชื้อ รักษาสุขอนามัยในขณะดูแลผู้ป่วย ล้างมือให้สะอาดหากสัมผัสกับของเหลวจากผู้ป่วย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค ทำความสะอาดบ้านอยู่เสมอ ระมัดระวังตนเองไม่ให้ติดเชื้อจากผู้ป่วยผ่านเลือด หรืออุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยที่มีของเหลวจากร่างกายของผู้ป่วยอยู่ โดยทำความสะอาดของใช้ ไม่ใช้ของที่อาจส่งต่อเชื้อได้ร่วมกัน อย่างมีดโกน หรือแหนบกำจัดขน และดูแลผู้ป่วยไม่ให้นอนหรือนั่งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน ๆ เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับที่จะทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อได้ต่อไป
  • อำนวยความสะดวก ให้ผู้ป่วยได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย เช่น จัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น อย่างทิชชู่ ผ้าขนหนู ให้ผู้ป่วยได้อยู่ใกล้ห้องน้ำ หรือช่วยเหลือให้ผู้ป่วยที่ช่วยตัวเองไม่ได้ทำธุระส่วนตัว
  • ให้ผู้ป่วยได้มีส่วนร่วมทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ได้ร่วมตัดสินใจหรือแสดงความคิดเห็น เรื่องต่าง ๆ ภายในครอบครัว สถานการณ์ปัจจุบัน ข่าวสาร หรือรายการบันเทิงต่าง ๆ ร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ รวมถึงให้ผู้ป่วยได้ออกกำลังกาย ขยับแขนขาบ้างตามความสามารถของผู้ป่วย
  • พูดคุยและให้กำลังใจผู้ป่วย เปิดโอกาสรับฟังเรื่องราว พูดคุยทำความเข้าใจกัน หรือทำความเข้าใจถึงอาการป่วยและสถานการณ์ในอนาคต แต่หากผู้ป่วยไม่พร้อมไม่สบายใจที่จะพูด ให้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
  • ปรึกษาและเตรียมการร่วมกับผู้ป่วย หลังจากได้พูดคุยทำความเข้าใจถึงอาการป่วยที่เป็นอยู่ ในผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องและมีการเจ็บป่วยหนัก ควรได้พูดคุยถึงความปรารถนาในอนาคตหากต้องมีอันเสียชีวิตในระยะเวลาอันใกล้ เพื่อเตรียมความพร้อมทางสภาพจิตใจทั้งต่อตัวผู้ป่วยเองและบุคคลใกล้ชิด อย่างสถานที่ที่ผู้ป่วยต้องการใช้เวลาในวาระสุดท้ายของชีวิต รวมทั้งเรื่องการเตรียมเอกสารและสิทธิทางกฎหมายให้ถูกต้องเหมาะสมล่วงหน้าด้วย

หากต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรคเอดส์ มีข้อสงสัย หรือต้องการความช่วยเหลือในการดูแลผู้ป่วย สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ หรือโทรสอบถามได้ตามหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับโรคนี้โดยตรงได้เช่น สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (โทร. 0-2286-0431, 0-2286-4483) มูลนิธิศูนย์ฮอตไลน์ (โทร. 0-2277-7699, 0-2277-8811) มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ (โทร. 0-2372-2222) กองควบคุมโรคเอดส์ กทม. (โทร. 0-2860-8751-6 ต่อ 407-8) หรือสอบถามข้อมูลได้ที่สถานพยาบาลและบริการสาธาณสุขใกล้บ้านได้

การวินิจฉัย เอดส์
ภาวะแทรกซ้อนของ เอดส์