Illness name: การรักษาเอดส์
Description: ในการรักษาเอดส์นั้น ปัจจุบันยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาใดที่จะกำจัดเชื้อเอชไอวีให้หมดไปได้ แต่มียาที่จะช่วยชะลอการพัฒนาของโรค คือ ยาต้านเอชไอวี หรือยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretrovirals: ARVs) ซึ่งแพทย์จะจ่ายยาภายใต้การพิจารณาการตอบสนองต่อยาแต่ละชนิด และจะจ่ายยารักษาทันทีเมื่อปริมาณของ CD4 อยู่ที่ระดับ 350 เซลล์/ลูกบาศก์เมตร หรือต่ำกว่า หากผู้ป่วยได้รับยาตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกที่ได้รับเชื้อ ยาจะออกฤทธิ์ควบคุมไม่ให้ไวรัสมีการแพร่กระจายและพัฒนาไปสู่การเจ็บป่วยในขั้นที่รุนแรงอย่างเอดส์ โดยการรับประทานยาแบบที่คนไทยคุ้นเคยกันดี คือ PEP (Post-exposure Prophylaxis) เปรียบเสมือนเป็นยาฉุกเฉินที่ต้องรับประทานหลังอาจได้รับเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย ส่วนวิธีการใช้ยา มีทั้งแบบใช้ยาต้านรีโทรไวรัสตัวเดียว (ARVs) หรือใช้ยาต้านร่วมกันหลายตัว (Antiretroviral Therapy: ART) ยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretrovirals: ARVs) จะช่วยยับยั้งไม่ให้เซลล์ของไวรัสมีการแบ่งตัวขยายตัวแล้วแพร่กระจายลุกลามไปสร้างความเสียหายแก่เซลล์เนื้อเยื่ออวัยวะบริเวณอื่น ๆ ต่อไปได้ กลุ่มยาของยาต้านรีโทรไวรัส และยากลุ่มใหม่อื่น ๆ ที่อาจถูกนำมาใช้ เช่น ส่วนใหญ่แพทย์จะรักษาด้วยการจ่ายยาต้านร่วมกันหลายตัว (Antiretroviral Therapy: ART) เป็นการให้ยาต้ามรีโทรไวรัสตั้งแต่ 3 ตัวยา จาก 2 กลุ่มยาข้างต้นขึ้นไป เพราะไวรัสเอชไอวีสามารถแบ่งตัวแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว เชื้อจะดื้อยาได้ง่าย หากได้รับยาเพียงแค่ตัวเดียว หรือแพทย์อาจจ่ายยาสูตรผสม (Fixed Dose Combination) ซึ่งเป็นการรวมยาต้านเอชไอวีหลายชนิดไว้ในยาเม็ดเดียว ส่วน PEP (Post-exposure Prophylaxis) เป็นการรับประทานยาต้านเอชไอวีแบบใช้ยาต้านร่วมกันหลายตัวตามใบสั่งแพทย์ โดยต้องรับประทานยาให้เร็วที่สุดหลังได้รับเชื้อภายใน 72 ชั่วโมง ยาจะมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการติดเชื้อและการแพร่กระจายของเชื้อ อย่างการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับผู้ที่ติดเชื้อ โดยผู้ที่ใช้ยา PEP ต้องรับประทานยา 1-2 ครั้ง/วัน ต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลา 28 วัน โดยทั่วไป ผู้ป่วยที่มีเชื้อเอชไอวีควรเข้ารับการตรวจหาปริมาณ CD4 ทุก ๆ 3-6 เดือน และรับประทานยารักษาอย่างถูกต้องต่อเนื่อง แม้จะรับประทานยาควบคุมไวรัสไม่ให้พัฒนาไปยังระยะที่รุนแรงขึ้นได้ แต่เชื้อเอชไอวีจะยังคงอยู่ในร่างกาย และยังสามารถติดต่อไปยังบุคคลอื่นได้หากไม่มีการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ผู้ป่วยจึงต้องเข้ารับการรักษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอาการป่วยอย่างรุนแรง ผู้ที่มีโรคแทรกซ้อนที่เป็นการติดเชื้อแบบฉวยโอกาส (เมื่อภูมิคุ้มกันบกพร่อง) ผู้ติดเชื้อที่ตั้งครรภ์ ผู้ที่ป่วยโรคเกี่ยวกับไตอันเป็นผลมาจากการติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยที่กำลังรักษาตับอักเสบ บี หรือ ซี อยู่ในขณะนั้น หรือผู้ป่วยที่มีค่า CD4 ต่ำกว่า 350 เซลล์/ลูกบาศก์เมตร ส่วนผู้ป่วยที่อยู่ในระยะเอดส์แล้ว การติดเชื้อเอชไอวีไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และเมื่อพัฒนาสู่ระยะเอดส์ ภูมิคุ้มกันร่างกายจะทำงานบกพร่องอย่างหนัก ทำให้เกิดการติดเชื้อและเจ็บป่วยจนร่างกายอ่อนแอและถึงแก่ชีวิตได้ในที่สุด ผู้ป่วยที่พัฒนาไปสู่ระยะเอดส์จึงควรไปพบแพทย์อยู่เสมอ เพื่อรับยาและรักษาอาการป่วยแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น โดยมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด การดูแลผู้ป่วยเอดส์ต้องให้ความสำคัญทั้งในด้านสภาพร่างกายและสภาพจิตใจไปพร้อม ๆ กัน โดยขั้นตอนสำคัญในการดูแลผู้ป่วยเอดส์ ได้แก่ หากต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรคเอดส์ มีข้อสงสัย หรือต้องการความช่วยเหลือในการดูแลผู้ป่วย สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ หรือโทรสอบถามได้ตามหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับโรคนี้โดยตรงได้เช่น สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (โทร. 0-2286-0431, 0-2286-4483) มูลนิธิศูนย์ฮอตไลน์ (โทร. 0-2277-7699, 0-2277-8811) มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ (โทร. 0-2372-2222) กองควบคุมโรคเอดส์ กทม. (โทร. 0-2860-8751-6 ต่อ 407-8) หรือสอบถามข้อมูลได้ที่สถานพยาบาลและบริการสาธาณสุขใกล้บ้านได้
การรักษา เอดส์