Illness name: การรักษาเริม

Description:

เริม
  • ความหมาย
  • อาการของเริม
  • สาเหตุของเริม
  • การวินิจฉัยโรคเริม
  • การรักษาเริม
  • ภาวะแทรกซ้อนของเริม
  • การป้องกันเริม

การรักษา เริม

Share:

เริมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากแม้ว่าแผลเริมจะหายแล้วแต่เชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ก็ยังคงหลบซ่อนอยูบริเวณประสาท และจะแสดงอาการอีกครั้งเมื่อภูมิคุ้มกันต่ำลง จึงทำให้การรักษาเริมโดยส่วนใหญ่เน้นที่การบรรเทาอาการเจ็บปวดจากแผลเริม และการควบคุมความรุนแรงของอาการ ความถี่ของการเกิดอาการ รวมทั้งการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส

การบรรเทาอาการเจ็บปวดด้วยตัวเอง

การรักษาโรคเริมด้วยตัวเองโดยส่วนใหญ่แล้วจะเน้นไปที่การบรรเทาอาการปวดและคันบริเวณแผลเริม เนื่องจากเริมสามารถหายเองได้โดยไม่ต้องใช้ยารักษา ซึ่งวิธีการบรรเทาอาการเจ็บปวดของเริมที่ปากและเริมที่อวัยวะเพศสามารถทำได้ดังนี้

เริมที่ปาก

  • ดื่มน้ำมาก ๆ การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำและทำให้แผลหายได้เร็วขึ้
  • เลี่ยงอาหารที่เป็นกรดหรือมีรสจัด รสเค็มจัด หรือมีส่วนประกอบของกรดมาก ๆ อาจทำให้แผลเกิดการระคายเคืองได้
  • เปลี่ยนมาใช้น้ำยาบ้วนปากแทนชั่วคราว หากรู้สึกเจ็บที่แผลขณะแปรงฟัน ควรเลิกแปรงฟันชั่วคราวเพื่อไม่ให้แผลยิ่งระคายเคือง
  • ประคบเย็น การประคบแผลด้วยความเย็นจะช่วยลดอาการเจ็บปวดได้ อีกทั้งยังป้องกันไม่ให้แผลแห้งและปริแตก แต่ทั้งนี้ก็ห้ามประคบเย็นหากแผลมีของเหลวซึมออกมา
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น แสงแดด โดยการทาลิปปาล์มที่ช่วยป้องกันแสงยูวี จะช่วยให้แผลชุ่มชื้น ป้องกันการปริแตกของแผล

เริมที่อวัยวะเพศ

  • ล้างด้วยน้ำอุ่น หากมีอาการปวดหรือเจ็บที่บริเวณแผลให้ล้างบริเวณรอบ ๆ แผลด้วยน้ำอุ่นอย่างน้อยวันละ 3-4 ครั้ง ขณะล้างพยายามอย่าให้แผลโดนน้ำ
  • ใช้ลมเป่าแทนการเช็ดด้วยผ้า หลังจากล้างทำความสะอาดบริเวณแผลแล้วควรใช้ลมเป่าให้แห้งแทนการเช็ดด้วยผ้าเพื่อป้องกันการเสียดสีจนเกิดการระคายเคือง
  • สวมใส่ชั้นในที่ผลิตจากผ้าคอตตอน เพราะผ้าคอตตอนสามารถดูดซับความชื้นได้ดี และไม่ควรสวมใส่ชั้นในที่ฟิตจนเกินไปเพราะอาจทำให้แผลถูกเสียดสีได้
  • ประคบเย็น ความเย็นจะช่วยลดอาการเจ็บปวด

การใช้ยา

โรคเริมยังไม่มียาที่สามารถรักษาได้โดยตรง ดังนั้นในช่วงทเี่กิดอาการ แพทย์อาจสั่งยาลดอาการปวด เช่น ยาพาราเซตามอล และยาไอบูโพรเฟน นอกจากนี้เพื่อบรรเทาอาการปวดและระคายเคืองก็อาจใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของยาชาเพื่อบรรเทาอาการชั่วคราวได้ แต่ทั้งนี้ก็ยังต้องใช้ยาต้านไวรัสเพื่อควบคุมการแพร่กระจายและบรรเทาความรุนแรงและความถี่ในการเกิดโรค โดยยาต้านไวรัสที่นิยมใช้มีดังนี้

  • ยาชนิดครีม ยาชนิดครีมสำหรับใช้ทาเป็นยาที่มีส่วนประกอบของยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
  • ยาชนิดรับประทาน ยาชนิดรับประทานเป็นยาที่จำเป็นต้องได้รับการสั่งจากแพทย์เท่านั้นเนื่องจากเป็นยาที่อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย อาเจียน เวียนศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ วิงเวียน โดยยาที่แพทย์แนะนำให้ใช้ ได้แก่ อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) แต่บางกรณีก็อาจสั่งยาชนิดอื่นในกลุ่มเดียวกันได้ เช่น ยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir)

ทั้งนี้ยาต้านไวรัสชนิดครีมสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปโดยไม่ต้องมีใบสั่งยา แต่การใช้ยาชนิดครีมจะได้ผลก็ต่อเมื่อใช้ในขณะที่เริ่มมีอาการแสดงเท่านั้น เพราะหากใช้ในขณะที่อาการเริ่มรุนแรงมากขึ้นจะไม่ค่อยได้ผลมากนัก ควรรีบใช้ยาต้านไวรัสชนิดครีมทาทันทีเมื่อรู้สึกคล้ายเป็นเหน็บ หรือแสบร้อนที่ผิวหนังบริเวณปากเพื่อไม่ให้อาการรุนแรงมากขึ้น โดยควรทาอย่างน้อยวันละ 4-5 ครั้ง ทั้งนี้การใช้ยาทาชนิดครีมไม่สามารถกำจัดไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์หรือป้องกันการติดเชื้อครั้งต่อไปได้

การสั่งยาของแพทย์ในผู้ป่วยแต่ละกลุ่มล้วนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจำนวนการกลับมาเป็นซ้ำของเริมที่อวัยวะเพศ โดยสำหรับผู้ป่วยที่มีการกลับมาเป็นซ้ำน้อยกว่า 6 ครั้งต่อปี แพทย์จะใช้วิธีการรักษาแบบเอพิโซดิก (Episodic Treatment) นั่นก็คือการสั่งใช้ยาอะไซโคลเวียร์ 5 วันติดต่อกันเมื่อผู้ป่วยเริ่มรู้สึกคล้ายเป็นเหน็บหรือมีอาการชาซึ่งเป็นสัญญาณแรกของเริม

แต่ถ้าผู้ป่วยมีการกลับมาเป็นซ้ำมากกว่า 6 ครั้งต่อปี หรือมีอาการที่ค่อนข้างรุนแรงจนเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยเกิดความทุกข์ แพทย์อาจใช้การรักษาแบบยับยั้งอาการ ซึ่งเป็นการรับประทานยาอะไซโคลเวียร์ต่อเนื่องวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 6-12 เดือน เป็นการรักษาในระยะยาวที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อซ้ำในอนาคต อีกทั้งยังลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น ทว่าการรักษาแบบนี้จะไม่สามารถป้องกันได้โดยสิ้นเชิง การรักษานี้มักจะจบลงหลังการรักษา 12 เดือนเมื่อความถี่ของการติดเชื้อซ้ำลดลง จากนั้นผู้ป่วยก็จะกลับไปใช้วิธีการรักษาแบบครั้งคราว คือรับประทานยาติดต่อกัน 5 วันเมื่อเกิดอาการกำเริบ ทั้งนี้ความถี่และความรุนแรงของเริมที่อวัยวะเพศจะลดลงหลังจากการรักษาด้วยวิธียับยั้งอาการระมาณ 2 ปี แต่แพทย์อาจต้องกลับมาใช้การรักษาด้วยวิธีดังกล่าวอีกครั้งหากอาการกลับมารุนแรงอีก และแพทย์อาจแนะนำให้ใช้วิธีการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญหากอาการยังคงรุนแรงแม้ว่าจะกลับมารักษาด้วยวิธียับยั้งอาการแล้วก็ตาม

นอกจากการใช้ยาต้านไวรัสแล้ว การใช้ยาชนิดอื่น ๆ ช่วยบรรเทาอาการก็อาจเป็นไปได้ อาทิ ยาไอบูโพรเฟน หรือยาพาราเซตามอล ที่ใช้เพื่อลดอาการปวดของแผล ยกเว้นผู้ป่วยที่มีอาการของโรคหอบหืด แผลในกระเพาะอาหาร ไม่ควรใช้ยาไอบูโพรเฟน และเด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปี ไม่ควรใช้ยาแอสไพริน สำหรับหญิงตั้งครรภ์หากมีอาการของเริมที่ปากควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากการใช้ยาอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้

การผ่าตัดคลอดของหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเริม

การผ่าตัดในโรคเริมไม่ใช่การรักษาแต่เป็นการป้องกันการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก เนื่องจากการคลอดบุตรด้วยวิธีธรรมชาติในกลุ่มผู้ป่วยเพศหญิงที่มีเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ และเกิดการประทุของเชื้อในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด ซึ่งจะทำให้ทารกเสี่ยงกับการติดเชื้อไวรัสดังกล่าวและมีอาการที่รุนแรงได้ ดังนั้นหากมารดามีอาการของเริมที่อวัยวะเพศในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ โดยแพทย์จะวินิจฉัยที่จะทำการผ่าคลอด เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กติดเชื้อจากบริเวณปากมดลูกหรืออวัยวะเพศที่อาจมีเชื้อหลงเหลืออยู่ แต่หากในช่วงตั้งครรภ์ไม่มีอาการของเริมที่อวัยวะเพศกำเริบ ก็สามารถคลอดด้วยวิธีธรรมชาติได้ แต่ควรต้องแจ้งแพทย์ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์เพื่อที่แพทย์จะได้ติดตามอาการและวางแผนการดูแลสุขภาพต่อไป

สนับสนุนโดย:

การวินิจฉัยโรค เริม
ภาวะแทรกซ้อนของ เริม