Illness name: ปากแหว่งเพดานโหว่

Description:

ปากแหว่งเพดานโหว่

ความหมาย ปากแหว่งเพดานโหว่

Share:

ปากแหว่งเพดานโหว่ (Cleft Lip, Cleft Palate) เป็นโรคที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดคือ จะมีรอยแยกที่บริเวณริมฝีปาก ใต้จมูก เหงือกบน หรือเพดานปาก สามารถเกิดขึ้นแยกกันอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือร่วมกันทั้งปากแหว่งและเพดานโหว่ได้ ปากแหว่งเพดานโหว่เป็นโรคที่พบตั้งแต่เด็ก และถือเป็นความผิดปกติแต่กำเนิดอย่างหนึ่งโดยเกิดความผิดปกติตั้งแต่ในครรภ์มารดา และอาจตรวจพบได้ตั้งแต่ในครรภ์หรือหลังคลอด โดยจะส่งผลต่อลักษณะทางกายภาพ การรับประทานอาหาร การกลืน การได้ยิน และสุขภาพในช่องปากได้

ลักษณะของปากแหว่งเพดานโหว่

ทารกสามารถเกิดมาพร้อมลักษณะของปากแหว่งหรือเพดานโหว่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง 2 อย่างร่วมกันได้ โดยลักษณะของโรคปากแหว่งเพดานโหว่สามารถพบได้ 3 รูปแบบ ดังต่อไปนี้

  • รอยแหว่งที่บริเวณริมฝีปากบนและรูโหว่ที่เพดานปาก ส่งผลให้ลักษณะทางกายภาพของใบหน้าเปลี่ยนไปข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง
  • รอยแหว่งเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณริมฝีปากบน หรืออาจยาวไปถึงเหงือกบน เพดานปาก รวมไปถึงบริเวณใต้จมูก ส่งผลให้ลักษณะทางกายภาพของใบหน้าเปลี่ยนแปลงไป
  • รอยโหว่เฉพาะที่เพดานอ่อนในปาก ไม่ส่งผลต่อลักษณะทางกายภาพของใบหน้า

สาเหตุของปากแหว่งเพดานโหว่

โรคปากแหว่งเพดานโหว่สามารถเกิดได้ตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา ในช่วงเดือนที่ 2 และเดือนที่ 3 ของการตั้งครรภ์ ทำให้เกิดความผิดพลาดในการสร้างอวัยวะ ได้แก่ ปากและเพดานปาก ปัจจุบันแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรค และเชื่อว่าอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ ได้ดังนี้

  • ปัจจัยทางพันธุกรรม เป็นการสืบทอดกรรมพันธุ์ในผู้ที่มีประวัติการเกิดโรคปากแหว่งเพดานโหว่กับสมาชิกในครอบครัว
  • ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างตั้งครรภ์
  • โรคอ้วนในระหว่างตั้งครรภ์
  • การขาดกรดโฟลิคในระหว่างตั้งครรภ์
  • การสัมผัสไวรัสหรือสารเคมีระหว่างตั้งครรภ์
  • การใช้ยาบางชนิดระหว่างตั้งครรภ์ เช่น ยากันชัก สเตอรอยด์ ยารักษาสิวที่มีส่วนประกอบของ  Accutane ยาเคมีบำบัดเมโธเทรกเซท รวมถึงยาที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ และโรคสะเก็ดเงิน
  • ข้อบกพร่องอื่น ๆ เช่น กลุ่มอาการดิจอร์จ (DiGeorge Syndrome) มีสาเหตุมาจากส่วนหนึ่งของโครโมโซมคู่ที่ 22 หายไป ทำให้เกิดความผิดปกติตามมา ได้แก่ ความลำบากในการรับประทานอาหาร สูญเสียการได้ยิน ความผิดปกติบนใบหน้า รวมไปถึงปัญหาของระบบภูมิกันของร่างกาย ปัญหาต่อมไทรอยด์ เป็นต้น

การวินิจฉัยปากแหว่งเพดานโหว่

ปากแหว่งเพดานโหว่สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์มารดาหรือเกิดขึ้นหลังการคลอด การวินิจฉัยสามารถทำได้ด้วยกัน 2 วิธี คือการอัลตราซาวด์ และการตรวจร่างกายทารกแรกเกิด โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • การอัลตราซาวด์ (Ultrasound) คือการใช้คลื่นเสียงเพื่อจำลองภาพของทารกในครรภ์ และแพทย์จะทำการตรวจโครงสร้างใบหน้าของทารกเพื่อหาความผิดปกติ สามารถทำการตรวจได้ในการตั้งครรภ์ช่วงสัปดาห์ที่ 13 และอาจตรวจตัวอย่างน้ำคร่ำเพื่อหาความผิดปกติของโครโมโซมซึ่งอาจพบได้ร่วมกับโรคปากแหว่งเพดานโหว่ สำหรับการตรวจด้วยวิธีอัลตราซาวด์ อาการปากแหว่งจะสามารถตรวจพบได้ง่ายกว่าอาการเพดานโหว่ที่เกิดขึ้นในเพดานปากเพียงอาการเดียว
  • การตรวจร่างกายทารกแรกเกิด คือการตรวจลักษณะทางกายภาพของทารกหลังคลอดในช่วงแรกเกิด เพื่อตรวจความปกติของร่างกาย เช่น ความผิดปกติบนใบหน้าและช่องปาก ตา สะโพก หัวใจ รวมไปถึงตรวจอัณฑะในทารกเพศชาย

การรักษาปากแหว่งเพดานโหว่

การรักษามีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับประทานอาหาร การพูด การได้ยิน รวมไปถึงลักษณะทางกายภาพให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ การรักษาสามารถทำได้ด้วยวิธีการผ่าตัด จะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง รูปแบบของการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและอาการของผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • การผ่าตัดอาการปากแหว่ง จะทำภายในช่วง 12 เดือนหลังคลอด แพทย์จะทำการเย็บเพื่อเชื่อมรอยแยกที่บริเวณริมฝีปากรวมถึงรอยแยกบริเวณใต้จมูกเข้าด้วยกัน
  • การผ่าตัดอาการเพดานโหว่ จะทำเมื่อเด็กมีอายุ 18 เดือนหรือก่อนหน้านั้น แพทย์จะทำการเย็บเพื่อปิดรอยแยกที่บริเวณเพดานอ่อนหรือเพดานแข็งในปาก
  • การผ่าตัดใส่ท่อในหู จะทำเมื่อเด็กมีอายุ 6 เดือน เป็นการผ่าตัดเพื่อระบายของเหลวในหูชั้นกลาง และลดความเสี่ยงของการเกิดการติดเชื้อที่จะนำไปสู่การสูญเสียการได้ยิน
  • การผ่าตัดซ่อมแซมรอยแหว่งที่เหงือกโดยใช้กระดูก จะทำเมื่อเด็กมีอายุ 8-12 ปี
  • การผ่าตัดเพื่อปรับปรุงลักษณะและการทำงานของริมฝีปากและเพดานปาก อาจมีการผ่าตัดในรูปแบบนี้ร่วมด้วยในกรณีที่การผ่าตัดอาการปากแหว่งหรือเพดานโหว่ ไม่สามารถทำให้ประสิทธิภาพในการพูดใช้งานได้เหมือนปกติ
  • การผ่าตัดกรามหรือขากรรไกรล่าง ในผู้ป่วยที่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่จะมีกรามหรือขากรรไกรล่างที่ผิดรูปไปจากปกติ

การดูแลรักษาจำเป็นต้องอาศัยแพทย์เฉพาะทางหลายสาขาร่วมดูแลเป็นทีม เช่น กุมารแพทย์ ศัลยแพทย์ตกแต่ง ทันตแพทย์ นักฝึกพูด โดยจะมีการวางแผนการดูแลรักษาผู้ป่วยและให้คำแนะนำการผ่าตัดผู้ป่วยแต่ละขั้นตอนอย่างเป็นระบบตามความจำเป็นและเหมาะสมกับผู้ป่วยมากที่สุ

ภาวะแทรกซ้อนของปากแหว่งเพดานโหว่

ปากแหว่งเพดานโหว่สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยจะเกิดขึ้นในบริเวณที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับอาการปากแหว่งหรือเพดานโหว่ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • ปัญหาในการรับประทานอาหาร รวมถึงการดูดนมแม่ ในเด็กที่มีอาการเพดานโหว่ไม่สามารถดูดนมแม่ได้ตามปกติ เนื่องจากมีรูโหว่ที่เพดานปาก และในเด็กที่มีอาการปากแหว่งก็ไม่สามารถดูดนมแม่ได้ตามปกติเช่นกัน เพราะไม่สามารถปิดปากได้สนิท อาจทำให้อาหารและของเหลวขึ้นจมูก แต่ในปัจจุบันมีการออกแบบจุกนมหรือเพดานเทียมสำเร็จรูปสำหรับเด็กที่เป็นปากแหว่งเพดานโหว่ทำให้สามารถดูดนมหรือรับประทานอาหารได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป จนกว่าจะถึงเวลาเข้ารับการผ่าตัด
  • การติดเชื้อที่หูและปัญหาการได้ยิน เด็กที่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่จะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อที่หูชั้นกลางหรือหูน้ำหนวกได้มากกว่า และถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจส่งผลต่อการได้ยิน หรือสูญเสียการได้ยินได้ แพทย์จะทำการผ่าตัดใส่ท่อที่บริเวณแก้วหูเพื่อระบายของเหลว อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยฟังในผู้ป่วยบางราย และเด็กที่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ควรเข้ารับการตรวจการได้ยินเป็นประจำทุกปี
  • ปัญหาทางการพูด ปากและเพดานเป็นส่วนสำคัญในการออกเสียงที่ถูกต้องและชัดเจน เด็กที่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่แล้วไม่ได้รับการผ่าตัด จะทำให้เด็กพูดไม่ชัด มีเสียงขึ้นจมูกได้ และฟังยาก การผ่าตัดสามารถช่วยแก้ไขให้ปัญหานี้ในผู้ป่วยบางราย แต่บางรายอาจต้องเข้ารับการรักษาต่อด้วยวิธีอรรถบำบัด เพื่อพัฒนาการพูดและการออกเสียง
  • ปัญหาทางทันตกรรม ในเด็กที่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่มีแนวโน้มที่ทำจะทำให้ฟันผุ ฟันขึ้นผิดตำแหน่ง ฟันซ้อน เรียงตัวไม่สวย จำเป็นต้องสร้ามเสริมสุขอนามัยที่ดีในช่องปาก และหมั่นเข้ารับการตรวจหรือรักษาโดยทันตแพทย์เป็นประจำ หรืออาจต้องมีการจัดฟันร่วมด้วย

การป้องกันปากแหว่เพดานโหว่

โรคนี้ป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา อาจไม่มีการป้องกัน แต่สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคในบุตรคนต่อไป โดยสามารถปฏิบัติได้ตามแนวทางดังต่อไปนี้

  • เข้ารับการปรึกษาด้านพันธุกรรม หากพบว่าเคยมีประวัติโรคปากแหว่งเพดานโหว่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวแล้ว ให้ปรึกษาแพทย์และวางแผนการตั้งครรภ์เพื่อตรวจสอบความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
  • รับประทานวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อการตั้งครรภ์ เช่น กรดโฟลิค ธาตุเหล็ก ไอโอดีน แคลเซียม วิตามินดี วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี 12 ไนอาซิน หรือสังกะสี เพื่อให้มารดาที่ตั้งครรภ์ได้รับสารอาหารและวิตามินที่ครบถ้วน ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เรื่องขนาดและปริมาณของวิตามินและแร่ธาตุที่ควรได้รับ
  • งดการสูบบุหรี่และงดการดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างตั้งครรภ์ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีควันบุหรี่ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดข้อบกพร่องต่อบุตรในครรภ์