Illness name: อัณฑะอักเสบ orchitis
Description: อัณฑะอักเสบ (Orchitis) เป็นการอักเสบบริเวณอัณฑะ โดยสาเหตุที่พบได้บ่อยมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการติดเชื้อบริเวณอื่นอย่างท่อเก็บตัวอสุจิ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการบวมเจ็บบริเวณอัณฑะข้างใดข้างหนึ่ง มีไข้ รู้สึกไม่สบายหรืออ่อนเพลีย ปวดบริเวณขาหนีบ และอื่น ๆ นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการลูกอัณฑะฝ่อหรือไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายในระยะยาวหากไม่ได้รับการรักษา เช่น ลูกอัณฑะข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างไม่สามารถทำงานได้ มีบุตรยาก เกิดความเจ็บป่วยอย่างรุนแรงหรือเสียชีวิต เป็นต้น ผู้ป่วยอัณฑะอักเสบมักจะมีอาการดังนี้ แพทย์อาจไม่สามารถระบุสาเหตุของการเกิดอัณฑะอักเสบได้อย่างแน่ชัด ในบางกรณีพบว่าเกิดจากเชื้อชนิดต่าง ๆ เช่น โรคอัณฑะอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียอาจเป็นผลมาจากภาวะต่าง ๆ เช่น การอักเสบบริเวณท่อเก็บตัวอสุจิเนื่องจากการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ อย่างโรคหนองในแท้หรือโรคหนองในเทียม การติดเชื้อหรือความผิดปกติแต่กำเนิดของระบบทางเดินปัสสาวะ การใช้เครื่องมือแพทย์สอดเข้าไปภายในองคชาตเพื่อการรักษา เป็นต้น โรคอัณฑะอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัสมักเกิดขึ้นจากเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคคางทูม ซึ่งจะแสดงอาการภายใน 4-10 วัน หลังจากที่ผู้ป่วยมีอาการต่อมน้ำลายบวมหรืออาการอื่น ๆ จากโรคคางทูม ทั้งนี้ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดอัณฑะอักเสบ ได้แก่ อายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคางทูม มีอาการติดเชื้อซ้ำในระบบทางเดินปัสสาวะ เข้ารับการผ่าตัดบริเวณอวัยวะเพศหรือท่อปัสสาวะ เป็นผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโต รวมไปถึงผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น การมีคู่นอนหลายคน การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย หรือเคยมีประวัติการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เป็นต้น แพทย์จะวินิจฉัยอัณฑะอักเสบจากประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย พร้อมกับตรวจร่างกายเพื่อดูอาการบวมของต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ อาการบวมของอัณฑะข้างที่มีการอักเสบ ร่วมกับการตรวจทางทวารหนักเพื่อดูขนาดและความยืดหยุ่นของต่อมลูกหมาก นอกจากนี้ แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม เช่น ผู้ที่มีการอักเสบบริเวณถุงอัณฑะเพียงข้างเดียวหรืออาการไม่รุนแรงสามารถรักษาให้หายได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะการเจริญพันธุ์ในระยะยาว โดยทั่วไป การรักษาโรคอัณฑะอักเสบจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ ดังนี้ นอกจากนี้ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือยกอัณฑะให้สูงขึ้น ควบคู่กับการใช้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการให้ดียิ่งขึ้น หากมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการป่วยอย่างรุนแรง แพทย์จะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะด้วยการฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ผู้ป่วยอัณฑะอักเสบอาจมีอาการอื่น ๆ เกิดขึ้นเป็นภาวะแทรกซ้อน เช่น การอักเสบเรื้อรังบริเวณท่อเก็บตัวอสุจิ เนื้อเยื่อบริเวณอัณฑะเสื่อมสลายหรือฝ่อ ฝีบริเวณถุงอัณฑะ มีรูทะลุบนผิวหนังถุงอัณฑะ และภาวะมีบุตรยาก เป็นต้น ดังนั้น หากมีอาการบวมเพียงเล็กน้อยหรือเป็นอาการบวมที่ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด ควรเข้าพบแพทย์ เนื่องจากอาจเป็นอาการของโรคมะเร็งอัณฑะได้ วิธีลดความเสี่ยงในการเกิดอัณฑะอักเสบสามารถทำได้โดย อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดหรือบวมบริเวณถุงอัณฑะอย่างกะทันหัน ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจทันที เนื่องจากสาเหตุของอาการอักเสบบางประการจำเป็นต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน อย่างภาวะอัณฑะบิดขั้ว (Testicular Torsion)ความหมาย อัณฑะอักเสบ (Orchitis)
อาการของอัณฑะอักเสบ
สาเหตุของอัณฑะอักเสบ
เชื้อแบคทีเรีย
เชื้อไวรัส
การวินิจฉัยอัณฑะอักเสบ
การรักษาอัณฑะอักเสบ
ภาวะแทรกซ้อนของอัณฑะอักเสบ
การป้องกันอัณฑะอักเสบ