Illness name: ตับวาย
Description: ตับวาย (Liver Failure) คือภาวะที่เนื้อเยื่อตับได้รับความเสียหายเป็นวงกว้างจนไม่สามารถฟื้นฟูได้ โดยสาเหตุมักมาจากการติดเชื้อ การใช้ยาเกิดขนาด หรือมีสาเหตุมาจากโรคอื่น ๆ ส่งผลให้ตับไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ ผู้ป่วยจึงอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ดีซ่าน ท้องมาน เลือดออกง่าย อ่อนเพลีย หรือมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ภาวะตับวายแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ ตับวายเฉียบพลันที่จะมีอาการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 วันหรือไม่กี่สัปดาห์ และตับวายเรื้อรังที่มักจะเกิดความผิดปกติหลายปีก่อนจะแสดงอาการ โดยทั้ง 2 ชนิดมีสาเหตุและวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ผู้ที่มีอาการของภาวะตับวายควรเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็วเนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต อีกทั้งการได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการที่เกิดขึ้นและใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
ภาวะตับวายมักมีอาการในระยะแรกคล้ายกับโรคตับทั่วไป โดยจะมีอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ท้องเสีย หลังจากนั้นผู้ป่วยตับวายจะมีอาการต่าง ๆ ดังนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการของภาวะตับวายจนกระทั่งมีอาการที่อยู่ในระดับรุนแรง โดยอาจมีอาการสับสน งุนงน เซื่องซึม หรืออาการอาจค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเข้าสู่อาการโคม่าได้ ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคตับจากแอลกอฮอล์อาจมีภาวะดีซ่านได้เช่นกัน ซึ่งสารพิษจะสะสมในสมองจะส่งผลให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิ ความรู้ความเข้าใจลดลง รวมทั้งอาจมีภาวะม้ามโต เลือดออกในทางเดินอาหาร ไตวาย หรือเป็นโรคมะเร็งตับ ตับวายเป็นผลมาจากการที่เซลล์ตับได้รับความเสียหาย สามารถแบ่งชนิดของตับวายได้เป็น 2 ชนิดหลัก คือ ตับวายเรื้อรังมักเป็นผลมาจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (Virus Hepatitis B) หรือไวรัสตับอักเสบซี (Virus Hepatitis C) และโรคตับแข็งจากการดื่มเครื่องแอลกอฮอล์ในปริมาณมากติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งเมื่อเนื้อเยื่อตับได้รับความเสียหายจากสาเหตุดังกล่าวซ้ำ ๆ หรือได้รับผลกระทบเป็นเวลานาน ทำให้ตับสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็นขึ้นมาแทนที่เนื้อเยื่อทั่วไป ตับจึงไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ สาเหตุของตับวายเฉียบพลันมักเกิดขึ้นจากสาเหตุต่อไปนี้ นอกจากนี้ ตับวายเฉียบพลันยังอาจเป็นผลจากโรคหรือภาวะต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็งตับ โรคตับจากภูมิต้านทานตนเอง กลุ่มอาการราย (Reye's Syndrome) บัดด์ เคียรี่ ซินโดรม (Budd Chiari Syndrome) ภาวะเหล็กเกิน และภาวะกาแลคโตซีเมีย (Galactosemia) เป็นต้น อีกทั้งยังอาจเกิดขึ้นในกรณีที่ตับของผู้ป่วยตับวายเรื้อรังทำงานผิดปกติอย่างกะทันหันได้เช่นกัน หากมีอาการคล้ายภาวะตับวายควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ และแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีประวัติการดื่มแอลกอฮอล์จนก่อให้เกิดปัญหา ความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ โดยแพทย์จะตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การรักษาภาวะตับวายมีอยู่หลายวิธี ทั้งการใช้ยา การผ่าตัด หรือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่าง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิด ความรุนแรง ระยะของโรคที่แตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน โดยแพทย์จะตรวจอาการเพื่อปรับการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยมากที่สุด ในกรณีที่พบได้บ่อยคือตับวายจากการรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด แพทย์จะรักษาด้วยการใช้ยาอะเซทิลซิสเทอีน (Acetylcysteine) เพื่อช่วยให้ตับสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ หรืออีกกรณีที่พบได้บ่อยคือตับวายเนื่องจากการติดเชื้อไวรัสตับ แพทย์อาจรักษาโดยการใช้ยาและการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตควบคู่กัน โดยผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับควรติดตามอาการเป็นระยะอย่างใกล้ชิด ไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากแพทย์อาจจ่ายยาป้องกันภาวะอื่น ๆ เพิ่มเติมและตรวจดูภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การรักษาผู้ป่วยอาการตับวายรุนแรงที่รักษาด้วยวิธีเบื้องต้นไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำให้มีการปลูกถ่ายตับ โดยแพทย์จะคัดเลือกตับที่สามารถเข้ากันได้กับร่างกายของผู้ป่วยและนำมาแทนที่ตับที่ได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ แพทย์อาจทำการปลูกถ่ายตับจากส่วนของตับที่ไม่ได้รับความเสียหายเนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่สามารถงอกหรือเติบโตใหม่ได้ ผู้ป่วยภาวะตับวายอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ภาวะสมองบวม (Cerebral Edema) ภาวะเลือดออกผิดปกติ ภาวะหลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร ไตวายเฉียบพลัน ภาวะหายใจล้มเหลว หรือภูมิต้านทานเชื้อโรคลดลง เป็นต้น ภาวะตับวายสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น อย่างไรก็ตาม หากพบว่าตนเองมีอาการคล้ายกับอาการของภาวะตับวายควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างรวดเร็วเนื่องจากภาวะตับวายอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ความหมาย ตับวาย
อาการของตับวาย
สาเหตุของตับวาย
ตับวายเรื้อรัง
ตับวายเฉียบพลัน
การวินิจฉัยตับวาย
การรักษาตับวาย
ภาวะแทรกซ้อนของตับวาย
การป้องกันตับวาย