Illness name: graves disease โรคเกรฟส์
Description: Graves’ Disease หรือโรคเกรฟส์ เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับระบบภูมิคุ้มกันของต่อมไทรอยด์ซึ่งเป็นต่อมไร้ท่อขนาดเล็กที่อยู่บริเวณด้านหน้าลำคอ ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนออกมามากกว่าปกติ โดยโรคนี้นับเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษ หากไม่ได้รับการรักษา ฮอร์โมนไทรอยด์ที่เพิ่มมากขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบประสาท สมอง การเผาผลาญพลังงาน และระบบอื่น ๆ ที่มีความสำคัญต่อร่างกายได้ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วย Graves’ Disease อาจมีอาการและสัญญาณบ่งชี้ดังต่อไปนี้ ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการของโรคในลักษณะที่พบได้ไม่บ่อย ดังต่อไปนี้ Graves’ Disease เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งโดยปกติจะมีหน้าที่สร้างแอนติบอดี้ขึ้นมาเพื่อต่อต้านเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกาย แต่ร่างกายของผู้ป่วยโรคนี้กลับสร้างแอนติบอดี้ที่ชื่อว่า Thyroid-Stimulating Immunoglobulin (TSI) ขึ้นที่เนื้อเยื่อของต่อมไทรอยด์ โดยจะทำหน้าที่คล้าย Thyroid-Stimulating Hormone (TSH) ที่เป็นฮอร์โมนในต่อมใต้สมองที่คอยสั่งการต่อมไทรอยด์ว่าควรสร้างฮอร์โมนออกมาปริมาณเท่าใด ซึ่งแอนติบอดี้ TSI จะทำให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนออกมามากเกินไปได้ อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ที่ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันดังกล่าวนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด และทุกคนอาจมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้ โดยผู้เชี่ยญชาญเชื่อว่ามีปัจจัยบางประการที่อาจทำให้คนบางกลุ่มเสี่ยงเป็น Graves’ Disease ได้มากกว่าคนทั่วไป ดังนี้ หากคาดว่าผู้ป่วยอาจมีอาการของ Graves' Disease แพทย์อาจวินิจฉัยโดยใช้วิธีดังต่อไปนี้ ทั้งนี้ ผลจากการวินิจฉัยโดยรวมอาจช่วยให้แพทย์ทราบว่าผู้ป่วยเป็น Graves’ Disease หรือป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของต่อมไทรอยด์อื่น ๆ ซึ่งการทดสอบเพียง 1-2 วิธีก็อาจช่วยยืนยันได้แล้วว่ามีภาวะฮอร์โมนไทรอยด์สูงหรือไม่ ซึ่งอาจบอกได้หาก Graves’ Disease เป็นสาเหตุของภาวะดังกล่าว การรักษาจะมุ่งเน้นยับยั้งการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์และป้องกันผลกระทบที่เกิดจากการมีฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายมากเกินไป ซึ่งวิธีที่ใช้อาจแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านต่าง ๆ ของผู้ป่วยด้วย เช่น อายุ การตั้งครรภ์ ภาวะสุขภาพ เป็นต้น โดยการรักษาภาวะ Graves’ Disease มีดังนี้ ส่วนโรคนี้ชนิด Graves' Ophthalmopathy ที่ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา มีวิธีการรักษาดังต่อไปนี้ Graves’ Disease อาจก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาได้ ดังนี้ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้เกิดความผิดปกติขึ้นกับระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยจนเกิดโรคนี้ จึงยากที่จะป้องกัน Graves’ Disease ได้ แต่สามารถลดความเสี่ยงได้โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ไม่สูบบุหรี่ หมั่นผ่อนคลายและเรียนรู้วิธีรับมือกับความเครียด เป็นต้นความหมาย โรคเกรฟส์ (Graves’ Disease)
อาการของโรคเกรฟส์
สาเหตุของโรคเกรฟส์
การวินิจฉัยโรคเกรฟส์
การรักษาโรคเกรฟส์
แพทย์อาจใช้ยาโพรพิลไทโอยูราซิล และยาเมไทมาโซ ซึ่งเป็นยาที่ช่วยทำให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนออกมาน้อยลง แต่แพทย์มักแนะนำให้ใช้ยายาเมไทมาโซมากกว่า เนื่องจากการใช้ยาโพรพิลไทโอยูราซิลนั้นเสี่ยงทำให้เกิดโรคตับได้มากกว่ายาเมไทมาโซ แต่แพทย์จะไม่ให้ผู้ป่วยที่กำลังตั้งครรภ์ในช่วง 3 เดือนแรกใช้ยาเมไทมาโซ เพราะอาจเสี่ยงทำให้ทารกมีภาวะพิการแต่กำเนิด แต่หลังจากผ่านช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ไปแล้ว แพทย์มักให้เปลี่ยนไปใช้ยาเมไทมาโซแทนยาโพรพิลไทโอยูราซิล ทั้งนี้ การใช้ยาต้านไทรอยด์เป็นการรักษาที่มักนำมาใช้ในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น โดยการเลือกใช้ยาและระยะเวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และการตอบสนองต่อการรักษาด้วย
ยาเบต้าบล็อกเกอร์มักนำมาใช้เพื่อช่วยบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นจากการมีฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายมากเกินไป จนกว่าการรักษาอื่น ๆ จะช่วยให้ระดับฮอร์โมนลดน้อยลง แต่ยาเบต้าบล็อกเกอร์อาจไปกระตุ้นให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดมีอาการกำเริบ หรืออาจส่งผลให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานควบคุมอาการของโรคได้ยากยิ่งขึ้น
การรักษาด้วยรังสีไอโอดีนเป็นวิธีรักษาที่ใช้กันมากที่สุดวิธีหนึ่ง โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานสารกัมมันตรังสีไอโอดีน 131 ในรูปแบบแคปซูลหรือของเหลว ซึ่งสารนี้จะค่อย ๆ เข้าไปยับยั้งการทำงานของเซลล์ในต่อมไทรอยด์ที่ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากผิดปกติ ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์หดตัวลง และทำให้อาการของโรคค่อย ๆ หายไป ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนในการรักษา อย่างไรก็ตาม แพทย์จะไม่ใช้วิธีนี้รักษาผู้ป่วยที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เพราะกัมมันตรังสีไอโอดีนอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ทารกในครรภ์หรือซึมผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ไปยังทารกแรกเกิดที่ดูดนมจากอกได้ และไม่ใช้รักษาในผู้ป่วยที่มีอาการของโรคตาในระดับปานกลางไปจนถึงรุนแรง นอกจากนี้ การรักษาด้วยรังสีไอโอดีนอาจส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ทำงานลดลงได้ และอาจทำให้ผู้ป่วยส่วนมากมีภาวะขาดไทรอยด์หลังจากเข้ารับการรักษา ดังนั้น ผู้ป่วยอาจต้องรับการฟื้นฟูร่างกายร่วมกับการรับประทานฮอร์โมนทดแทนเพื่อให้กลับมามีฮอร์โมนไทรอยด์ในปริมาณปกติ ส่วนผลข้างเคียงอื่น ๆ ได้แก่ อาการกดเจ็บที่คอ มีฮอร์โมนไทรอยด์เพิ่มขึ้น มีความเสี่ยงเกิด Graves' Ophthalmopathy หรือทำให้ผู้ป่วยโรคชนิดนี้มีอาการแย่ลง แต่มักมีอาการไม่รุนแรงและเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เช่น การรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผลเท่าที่ควร มีภาวะไทรอยด์เป็นพิษรุนแรง มีอาการเข้าข่ายมะเร็งต่อมไทรอยด์ หรือผู้ป่วยตั้งครรภ์ที่ไม่สามารถรักษาโรคด้วยการรับประทานยาต้านไทรอยด์ได้ เนื่องจากมีอาการแพ้ยาหรือได้รับผลข้างเคียงจากยา เป็นต้น การรักษาวิธีนี้ แพทย์จะผ่าตัดเอาต่อมไทรอยด์ออกไป แต่หลังจากเข้ารับการผ่าตัดแล้วผู้ป่วยอาจต้องได้รับฮอร์โมนทดแทนอย่างต่อเนื่อง และมีความเสี่ยงที่เส้นประสาทที่ควบคุมเส้นเสียงและต่อมเล็ก ๆ ที่อยู่ติดกับต่อมพาราไทรอยด์ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนควบคุมระดับแคลเซียมในเลือดอาจถูกทำลาย จึงอาจส่งผลให้มีอาการเสียงแหบและระดับแคลเซียมในเลือดผิดปกติได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเกรฟส์
การป้องกันโรคเกรฟส์