Illness name: ลิ้นเป็นฝ้า
Description: ลิ้นเป็นฝ้า (White Tongue) ไม่ใช่โรคแต่เป็นหนึ่งในอาการชั่วคราวที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย เกิดจากการสะสมของแบคทีเรียหรือเชื้อรา รวมกับเซลล์ที่ตายแล้วซึ่งติดอยู่ระหว่างตุ่มเล็ก ๆ บนเนื้อลิ้น ทั้งนี้อาการลิ้นเป็นฝ้าไม่ใช่โรคหรืออาการร้ายแรง มักจะอยู่เพียงชั่วคราว แต่ถ้าหากอาการลิ้นฝ้ายังไม่หายไปหลังจากที่ผู้ป่วยใช้แปรงสีฟันแปรงลิ้นบริเวณที่เป็นสีฝ้าขาวเบา ๆ หรือหลังจากดื่มน้ำจำนวนมาก หรือเป็นนานว่า 2 สัปดาห์ อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อหรืออาการร้ายแรงอื่น ๆ ได้ด้วย อาการของลิ้นเป็นฝ้า ผู้ป่วยสังเกตอาการลิ้นเป็นฝ้าได้ด้วยตนเอง บนผิวลิ้นจะปรากฏเป็นปื้นหรือรอยสีขาว อาจมีอาการเจ็บ หรือลักษณะอื่น ๆ ของลิ้นเกิดการเปลี่ยนแปลงไปร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ สาเหตุของลิ้นเป็นฝ้า สาเหตุของอาการลิ้นเป็นฝ้านั้นเกิดจากการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา รวมกับเซลล์ที่ตายแล้ว โดยเกิดจากการที่ปุ่มรับรสพองโต และในบางกรณีมีการอักเสบที่ปุ่มเหล่านั้นด้วย สาเหตุที่ทำให้เกิดการพองโตหรือการอักเสบรวมทั้งอาการลิ้นเป็นฝ้าประกอบด้วยอาการปากแห้ง ช่องปากไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างเหมาะสม การสูบบุหรี่ หรือการใช้ยาสูบ การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ อาการไข้ หายใจทางปาก โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดในผู้ใหญ่ การรับประทานอาหารแต่อาหารนิ่มหรือบดจนละเอียด และการระคายเคืองในช่องปากจากขอบฟันคม ๆ หรืออุปกรณ์เกี่ยวกับฟัน นอกจากนี้ ลิ้นเป็นฝ้ายังเกิดจากโรคหรือภาวะอื่น ๆ ที่สำคัญได้อีก เช่น การวินิจฉัยลิ้นเป็นฝ้า ถึงแม้ว่าอาการลิ้นเป็นฝ้าจะมองเห็นได้ด้วยตนเอง ถ้าหากระยะเวลาผ่านไปมากกว่าส 2 สัปดาห์แต่ผู้ป่วยพบว่าอาการลิ้นเป็นฝ้ายังไม่หายโดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยหาสาเหตุหรือความเป็นไปได้ของโรคอื่น ๆ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามแต่กรณี โดยอันดับแรกแพทย์อาจวินิจฉัยอาการในช่องปากของผู้ป่วยเบื้องต้น การบอกข้อมูลที่สำคัญกับแพทย์อาจช่วยในการวินิจฉัย โดยผู้ป่วยอาจบอกเล่าถึงอาการอื่น ๆ อาทิ พบว่า มีก้อน หรือมีอาการเจ็บปวดภายในช่องปากหรือลำคอ ประวัติการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ ประวัติการใช้ยา ประวัติการเป็นโรคมะเร็งของคนในครอบครัว รวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย ในการวินิจฉัยของแพทย์หากตรวจพบอาการลิ้นเป็นฝ้าที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา แพทย์อาจลองถูบริเวณลิ้นที่เป็นฝ้าด้วยสำลีหรือผ้าก็อซ หากพบว่าในช่องปากมีอาการปากแห้งร่วมด้วย แพทย์อาจต้องค้นหาสาเหตุของอาการดังกล่าวร่วมกับการตรวจสอบต่อมน้ำลาย ในกรณีที่สงสัยเกี่ยวกับมะเร็งในช่องปากและลิ้น แพทย์อาจใช้การวินิจฉัยผ่านการเจาะเก็บชิ้นเนื้อจากก้อนเนื้อที่ผิดปกติไปตรวจ (Biopsy) และอาจตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วยการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทีสแกนร่วมด้วย ทั้งนี้ ทันตแพทย์อาจวินิจฉัยช่องปากเพื่อตรวจหาสัญญาณอันตรายของลิ้นเป็นฝ้าที่เกิดจากเนื้อร้ายได้ ดังนั้น การหมั่นตรวจสุขภาพฟันและช่องปากจึงสำคัญซึ่งผู้ป่วยควรตรวจปีละ 2 ครั้ง การรักษาลิ้นเป็นฝ้า อาการลิ้นเป็นฝ้าเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุซึ่งส่งผลต่อวิธีการรักษาให้แตกต่างกันไปตามแต่กรณีของสาเหตุโรค หากผู้ป่วยพบว่าลิ้นเป็นฝ้าเกิดขึ้นจากเชื้อราในปากอาจรักษาได้ด้วยการใช้ยาต้านเชื้อรา ซึ่งมีตัวยาหลายรูปแบบทั้งแบบอม แบบเจล แบบยาน้ำใช้ทาโดยตรงในช่องปาก หรือยารับประทาน โดยทั่วไปมักใช้ระยะเวลาในการรักษาราว 7-14 วัน การใช้ยาอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงแม้ว่าจะพบได้น้อยก็ตาม เช่น รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และท้องเสีย ในขณะที่อาการลิ้นเป็นฝ้าจากลิ้นลายแผนที่ (Geographic Tongue) ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องรักษาแต่อย่างใด ส่วนอาการลิ้นเป็นฝ้าที่เกิดจากโรคฝ้าขาว (Leukoplakia) นอกเหนือไปจากการลดหรือเลิกสูบบุหรี่และหยุดดื่มแอลกอฮอล์แล้ว การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ทั้งการผ่าตัดด้วยมีด เลเซอร์ หรือใช้การจี้เย็น (Cryotherapy) ซึ่งวิธีการผ่าตัดมักใช้ยาชาเฉพาะที่เข้าช่วย หรือแม้แต่ยาสลบหากบริเวณที่ต้องผ่าตัดกินบริเวณกว้าง นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีหลักฐานบางชิ้นที่แสดงว่าโรคฝ้าขาวรักษาได้ด้วยการใช้ยาเรตินอยด์ซึ่งเป็นสารผลิตจากวิตามินเอ อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยการใช้เรตินอยด์อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายและยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าได้ผลจริง ส่วนลิ้นเป็นฝ้าที่เกิดจากโรคไลเคนพลานัสในช่องปาก หากเป็นไม่มาก การรักษาอาจไม่จำเป็น แต่สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคไลเคนพลานัสในช่องปากที่เป็นมาก อาจใช้วิธีการรักษาด้วยการใช้น้ำยาบ้วนปาก ร่วมกับยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นในช่องปาก หรือยาสเตียรอยด์ชนิดเม็ดละลายน้ำเพื่อใช้บ้วนทำความสะอาดช่องปาก นอกจากนี้ อาการลิ้นเป็นฝ้าที่เกิดจากโรคซิฟิลิสก็อาจรักษาได้ด้วยการใช้ยาเพนิซิลิน ส่วนลิ้นเป็นฝ้าที่เกิดจากโรคมะเร็งลิ้นหรือมะเร็งช่องปาก ผู้ป่วยต้องรักษาด้วยการเข้ารับการผ่าตัด การฉายแสง หรือยาเคมีบำบัด ภาวะแทรกซ้อน อาการลิ้นเป็นฝ้าส่วนใหญ่จะเป็นชั่วคราว หายไปได้เอง ไม่อันตรายและไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน รวมถึงลิ้นเป็นฝ้าจากบางสาเหตุ เช่น ลิ้นลายแผนที่ และโรคไลเคนพลานัสในช่องปาก ส่วนลิ้นเป็นฝ้าจากสาเหตุอื่น ๆ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ดังนี้ การป้องกันอาการลิ้นเป็นฝ้า ผู้ป่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการลิ้นเป็นฝ้าได้หลายวิธี ทั้งการป้องกันความเสี่ยงต่อการเกิดลิ้นเป็นฝ้าโดยทั่วไป ซึ่งมักเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพและความสะอาดของช่องปากในชีวิตประจำวันอย่างถูกวิธี เช่น การแปรงฟัน การใช้น้ำยาบ้วนปาก ไหมขัดฟัน รวมถึงการแปรงลิ้น สำหรับการป้องกันอาการลิ้นเป็นฝ้าที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราในช่องปาก ทำได้โดยการหมั่นบ้วนปาก การแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง การทำความสะอาดฟันปลอมในทุก ๆ วัน ระมัดระวังอาหารที่บริโภคในแต่ละวันโดยเฉพาะการควบคุมปริมาณน้ำตาลหรือยีสต์ การควบคุมระดับน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน การรักษาโรคเชื้อราในช่องคลอด และหมั่นพบแพทย์ และแม้ว่าโรคฝ้าขาว (Leukoplakia) และโรคไลเคนพลานัสในช่องปากไม่สามารถป้องกันได้ แต่สำหรับโรคฝ้าขาว ผู้ป่วยเฝ้าระวังการกลายเป็นมะเร็งลิ้นหรือมะเร็งในช่องปากได้ ส่วนโรคซิฟิลิสผู้ป่วยสามารถลดโอกาสในการติดเชื้อได้ด้วยการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการสวมใส่ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางช่องปาก ช่องคลอด และทวารหนัก ใช้แผ่นยางอนามัย (Dental Dam) ทุกครั้งที่ทำออรัลเซ็กซ์ หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ที่ใช้ในการร่วมเพศ (Sex Toys) ที่ไม่สะอาด ส่วนการป้องกันอาการลิ้นเป็นฝ้าที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคมะเร็งช่องปากและลิ้น ผู้ป่วยอาจดื่มแอลกอฮอล์แค่พอควรเนื่องจากแอลกอฮอล์สร้างความระคายเคืองให้ช่องปากจนเกิดเซลล์มะเร็งได้ รวมทั้งการเลิกใช้ยาสูบทุกประเภท หมั่นตรวจสุขภาพช่องปาก รวมทั้งการเลือกรับประทานผักผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งช่องปากได้ความหมาย ลิ้นเป็นฝ้า