Illness name: ผิวไหม้แดด sunburn
Description: ผิวไหม้แดด (Sunburn) คือภาวะของผิวที่เกิดการอักเสบ แดง และแสบร้อนจากการรับรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวี (UV) ที่มากหรือนานเกินไป ซึ่งอาการไหม้แดดสามารถเกิดขึ้นบนผิวหนังทั่วไปและบริเวณร่างกายที่โดนรังสียูวีได้ เช่น หนังศีรษะ ริมฝีปาก ดวงตา เป็นต้น ผิวไหม้แดดไม่ได้เกิดจากแสงแดดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดจากรังสียูวีเทียม อย่างหลอดไฟยูวี ตู้หรือเตียงอบผิวแทน แม้อาการผิวไหม้แดดส่วนใหญ่สามารถหายได้เอง แต่หากได้รับรังสีนี้มากเกินไปก็อาจเกิดอาการอื่น ๆ ที่ส่งผลเสียต่อผิวหนัง เช่น ผิวไหม้ ผิวลอก ตุ่มพอง เป็นต้น รวมทั้งอันตรายจากรังสียูวีก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ และโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย ผิวไหม้แดดมักจะเริ่มมีอาการหลังจากที่โดนแดดไปประมาณ 2-6 ชั่วโมง โดยมักจะพบอาการแสบร้อนตามผิวหนังที่โดนแดด ผิวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง หลังจากนั้นประมาณ 24 ชั่วโมงขึ้นไป ผิวที่ไหม้แดดจะเริ่มเกิดอาการอื่น ๆ ตามระดับความรุนแรง โดยอาจพบว่าผิวเริ่มมีอาการระคายเคืองหรือเจ็บปวด นอกจากนี้ ผิวไหม้แดดอาจเกิดได้กับผิวหนังส่วนที่มีเสื้อผ้าปกคลุมอยู่หากเนื้อผ้าบางเกินไปหรือไม่สามารถกันรังสียูวีได้ รวมถึงบริเวณส่วนอื่นของร่างกายที่โดนแดดได้อย่างดวงตา ทำให้แสบตา เจ็บตา ระคายเคืองตา หรือรู้สึกคล้ายมีเม็ดทรายอยู่ในดวงตา อย่างไรก็ตาม ควรไปพบแพทย์หากอาการผิวไหม้แดดไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงใน 2-3 วัน เช่น ผิวเริ่มบวมมากขึ้น แผลพุพองเพิ่มขึ้นทั่วร่างกาย หรือมีอาการติดเชื้อจากตุ่มแผลที่แตก ส่งผลให้มีอาการเจ็บ มีหนองและรอยแดงกระจายบริเวณรอบ ๆ แผล เป็นต้น แต่หากมีสัญญาณของภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย (Electrolyte Imbalances) หรือเป็นลมแดด (Heatstroke) ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยสังเกตได้หลังจากการโดนแดดแล้วร่างกายมีอุณหภูมิขึ้นสูงเกิน 39 องศาเซลเซียส รู้สึกวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ เป็นลม ตัวซีด หายใจถี่ ชีพจรเต้นเร็ว กระหายน้ำ ไม่ค่อยปัสสาวะ เบ้าตาลึก สาเหตุหลักของผิวไหม้แดดเกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวีทั้งจากแหล่งธรรมชาติและจากรังสียูวีเทียม อย่างเตียงอบผิวแทนหรือหลอดไฟยูวี รวมไปถึงพื้นผิวต่าง ๆ อย่างทรายหรือน้ำ ก็สามารถสะท้อนรังสียูวีมาสู่ร่างกายได้เช่นกัน ทำให้ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศหนาวหรือร้อนก็อาจเกิดผิวไหม้แดดได้ ปกติแล้วร่างกายของมนุษย์จะมีกระบวนการป้องกันรังสียูวีอยู่ โดยร่างกายจะผลิตเม็ดสีที่มีชื่อว่าเมลานิน (Melanin) ออกมามากกว่าปกติที่ผิวหนังชั้นนอกและทำให้ผิวคล้ำขึ้น ซึ่งเมลานินจะเป็นตัวช่วยในการป้องกันผิวจากรังสียูวีที่มากเกินไปและป้องกันไม่ให้ผิวเกิดการไหม้แดด แต่กระบวนการนี้สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น รังสียูวีแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ยูวีเอ (UV-A), ยูวีบี (UV-B) และ ยูวีซี (UV-C) แต่รังสียูวีซีถูกกรองออกไปที่นอกชั้นบรรยากาศจึงไม่ส่งผลอะไรร้ายแรงกับมนุษย์ ดังนั้นรังสียูวีเอและยูวีบีจึงเป็นสาเหตุหลักของอาการผิวไหม้แดด และทั้งสองรังสีนี้ก็ส่งผลต่อชั้นผิวหนังมนุษย์ต่างกันไป ยูวีเอเป็นรังสีที่มีความรุนแรงน้อยกว่ายูวีบี แต่เป็นรังสีที่สามารถทะลุเข้าไปทำลายเซลล์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนัง และการรับรังสียูวีเอสะสมเป็นเวลานานก็จะทำให้ผิวเกิดริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ ตามมา ยูวีบีมีผลต่อชั้นหนังกำพร้าที่อยู่นอกสุดของร่างกาย ก่อให้เกิดรอยแดงที่เป็นสัญญาณเริ่มต้นของอาการผิวไหม้แดด และการรับรังสียูวีบีสะสมเป็นเวลานานก็เป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ รวมไปถึงมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma) และชนิดไม่ใช่เมลาโนมา (Non-melanoma) นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดผิวไหม้แดดนั้นขึ้นอยู่กับหลายอย่าง เช่น ในเบื้องต้นแพทย์จะซักถามประวัติและอาการของผู้ป่วย ตรวจดูที่ผิวหนังเพื่อทราบข้อมูลเบื้องต้น เช่น ประวัติการเกิดอาการ ระยะเวลาที่เกิดอาการ มีตุ่มพองขึ้นบนบริเวณผิวหนังหรือไม่ มีการทาครีมกันแดดหรือป้องกันผิวจากแสงแดดหรือไม่ อาการผิวไหม้แดดเกิดขึ้นบริเวณใดบ้าง ยาที่ผู้ป่วยใช้ประจำ หรืออาการข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้หากแพทย์พบว่าผิวของผู้ป่วยมีความไวต่อแสง แพทย์อาจให้ผู้ป่วยทำการทดสอบแสง (Phototesting) โดยการฉายรังสียูวีเอและยูวีบีบนผิวหนังของผู้ป่วยบริเวณเล็ก ๆ เพื่อทดสอบว่าผู้ป่วยมีภาวะไวต่อแสงหรือไม่ (Photosensitive Skin) หากเป็นผิวไหม้แดดในระดับไม่รุนแรง อาการจะหายได้เองตามธรรมชาติ โดยผิวชั้นบนจะเริ่มลอกออกในช่วง 2-3 วันหลังการไหม้แดดหรืออาจนานกว่านั้น และผิวใหม่ที่ขึ้นมาอาจจะยังมีสีที่ไม่สม่ำเสมอ แต่จะดีขึ้นได้เองเมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนี้ผู้ป่วยยังสามารถใช้วิธีต่าง ๆ เพื่อช่วยบรรเทาอาการ เช่น ในกรณีที่ผู้ป่วยมีตุ่มน้ำขนาดใหญ่และอาจต้องเจาะให้น้ำออก ควรใช้เข็มที่ผ่านการฆ่าเชื้อและทำการล้างแผลให้สะอาดก่อนด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์สำหรับล้างแผล โดยเลือกเจาะบริเวณขอบของแผลและปล่อยให้น้ำข้างในไหลออกมาให้หมด จากนั้นควรทายาฆ่าเชื้อรูปแบบครีมขี้ผึ้ง (Topical Antibiotic Ointments) เพื่อป้องกันแผลไม่ให้ติดเชื้อ และเลือกเครื่องแต่งกายที่ไม่แน่นจนเกินไปเพื่อลดการเสียดสี หากผิวไหม้แดดรุนแรง ปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวแล้วอาการต่าง ๆ ยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจแนะนำให้นอนพักที่โรงพยาบาลและรับการรักษาที่เหมาะสม โดยการรักษาทางการแพทย์ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การบรรเทาอาการเจ็บ แสบ การอักเสบ คัน พุพอง ผิวลอก ตามร่างกาย เช่น ทั้งนี้หากผู้ป่วยที่มีอาการผิวไหม้แดดกำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดสำหรับคุณแม่และทารกในครรภ์ อาการต่าง ๆ ของผิวไหม้แดดที่สามารถหายได้เองนั้นเป็นเพียงแค่ผลลัพธ์ชั่วคราวจากรังสียูวี แต่เซลล์ที่ถูกรังสียูวีทำร้ายไปแล้วจะส่งผลต่อร่างกายในระยะยาว เช่น ผิวที่โดนรังสียูวีบ่อย ๆ จะค่อย ๆ สูญเสียความแข็งแรงและเหี่ยวย่นลงเรื่อย ๆ รวมไปถึงการเกิดกระแดดและริ้วรอยร่องลึก หยาบแห้ง และมีเส้นเลือดสีแดงขึ้นบริเวณแก้ม จมูก ใบหู ถึงแม้ผิวหนังจะไม่มีอาการไหม้แดด แต่การรับรังสียูวีเป็นเวลานานก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังชนิดต่าง ๆ ได้ ได้แก่ การรับรังสียูวีไม่เพียงแต่ทำร้ายผิวหนังเท่านั้น แต่ยังทำร้ายดวงตาในส่วนต่าง ๆ อีกด้วย เช่น จอตา เลนส์แก้วตา หรือกระจกตา ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเกิดโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับดวงตาตามมา เช่น ต้อกระจก (Cataracts) ต้อเนื้อ (Pterygium) กระจกตาอักเสบจากรังสียูวี (Photokeratitis) โรคจอประสาทตาเสื่อม ( Macular Degeneration) นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายที่มีรังสียูวีหรือแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการต่าง ๆ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคผิวเผือก โรคโพรพีเรีย และโรคด่างขาว อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเดิม โดยอาจทำให้ผิวยิ่งไวต่อแสงแดดและอาการของโรคเดิมที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้น เช่น ผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเองอาจมีผื่นแดงกำเริบขึ้น การป้องกันผิวไหม้แดดที่ดีที่สุดจึงเป็นการหลีกเลี่ยงกิจกรรมในที่โล่งแจ้งที่ต้องโดนแสงแดดจัด โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-16.00 น. หากเลี่ยงไม่ได้ควรเลือกปฏิบัติตามวิธีต่าง ๆ ที่ช่วยป้องกันหรือลดโอกาสการไหม้แดด เช่น ในกรณีเด็กทารกที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน อาจใช้แค่ร่มหรือเครื่องแต่งกายเพื่อป้องกันรังสียูวี แต่หากเลี่ยงไม่ได้ ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 15 บริเวณใบหน้าและหลังมือและเลือกชนิดที่มีไททาเนียมไดออกไซด์ (Titanium Oxide) และซิงก์ออกไซด์ (Zinc Oxide) เป็นส่วนผสมเพื่อลดโอกาสการเกิดการระคายเคืองของผิวหนังความหมาย ผิวไหม้แดด (Sunburn)
อาการผิวไหม้แดด
สาเหตุของผิวไหม้แดด
ยูวีเอ
ยูวีบี
การวินิจฉัยผิวไหม้แดด
การรักษาผิวไหม้แดด
ภาวะแทรกซ้อนของผิวไหม้แดด
ผิวแก่ก่อนวัย
โรคมะเร็งผิวหนัง
ผลกระทบต่อดวงตา
การป้องกันผิวไหม้แดด