Illness name: การรักษามะเร็งปากมดลูก

Description:

มะเร็งปากมดลูก
  • ความหมาย
  • อาการของมะเร็งปากมดลูก
  • สาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
  • การวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก
  • การรักษามะเร็งปากมดลูก
  • ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งปากมดลูก
  • การป้องกันมะเร็งปากมดลูก

การรักษา มะเร็งปากมดลูก

Share:

การรักษามะเร็งปากมดลูกต้องรักษาตามระยะของการป่วยและอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น โดยการตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคได้มากขึ้น หรือในกรณีที่ไม่สามารถรักษาได้ แพทย์จะหาวิธีป้องกันไม่ให้มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะและระบบอื่น ๆ ในร่างกาย และบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกับโรคนี้ได้ต่อไป

โดยอัตราการรอดชีวิตหลังการรักษาภายใน 5 ปี ของผู้ป่วยมะเร็ง ขึ้นอยู่กับระยะของการป่วยที่ตรวจพบและการลุกลามของมะเร็ง ได้แก่

  • มะเร็งระยะที่ 1 โอกาสรอดชีวิตมากกว่า 90%
  • มะเร็งระยะที่ 2 โอกาสรอดชีวิตประมาณ 60-80%
  • มะเร็งระยะที่ 3 โอกาสรอดชีวิตประมาณ 50%
  • มะเร็งระยะที่ 4 โอกาสรอดชีวิตน้อยกว่า 30%

แต่ทั้งหมดนี้ยังขึ้นกับปัจจัยต่าง ๆ ของผู้ป่วยด้วย เช่น ความแข็งแรงของผู้ป่วย โรคประจำตัวเดิม เป็นต้น

ผู้ที่อยู่ในระยะก่อนมะเร็ง (CIN) เพื่อป้องกันการพัฒนาของเซลล์มะเร็ง แพทย์จะผ่าตัดและทำลายเนื้อเยื่อผิดปกติที่เกิดขึ้นด้วยวิธี Large Loop Excision of the Transformation Zone (LLETZ) เป็นวิธีการตัดเนื้อเยื่อปากมดลูกด้วยห่วงลวดไฟฟ้า หรือ Cone Biopsy เป็นวิธีผ่าตัดเล็กที่ตัดเอาเนื้อเยื่อที่ผิดปกติออกไป และ Laser Therapy เป็นการผ่าตัดด้วยการยิงลำแสงเลเซอร์ทำลายเซลล์ที่ผิดปกติที่อาจก่อมะเร็งในอนาคตได้

ส่วนในผู้ป่วยที่ทราบผลว่าป่วยเป็นมะเร็งแล้ว หากป่วยระยะแรกเริ่มที่ตรวจพบมะเร็ง แพทย์จะรักษาด้วยการผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อบางส่วนออก หรืออาจผ่าตัดเอามดลูกออกไป และการใช้วิธีรังสีรักษา (Radiotherapy)

สำหรับผู้ป่วยในระยะที่มะเร็งลุกลาม จะรักษาด้วยรังสีรักษา (Radiotherapy) เคมีบำบัด (Chemotherapy) และการผ่าตัด

การผ่าตัดรักษาผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก ต้องเลือกใช้ตามการลุกลามของมะเร็ง ได้แก่

การผ่าตัดแบบการตัดปากมดลูกเป็นรูปกรวยแบบกว้าง (Radical Trachelectomy)
เนื้อเยื่อปากมดลูกและบริเวณใกล้เคียงที่เหนือช่องคลอดขึ้นไปจะถูกตัดออกไป โดยที่มดลูกยังคงอยู่เช่นเดิม เป็นการผ่าตัดผู้ป่วยในระยะเริ่มแรกที่มะเร็งยังไม่ลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ และเหมาะสำหรับผู้ที่ยังต้องการมีบุตร เพราะแม้จะผ่าเอาปากมดลูกออกไป แต่ยังมีมดลูกจึงสามารถมีบุตรได้เช่นเดิม

การตัดมดลูกและปากมดลูกออก (Hysterectomy)
มดลูกและปากมดลูกถูกผ่าตัดออกไป ในบางกรณีอาจต้องผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อและต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง รังไข่ และปีกมดลูกออกไปด้วย ขึ้นอยู่กับการลุกลามของมะเร็ง ผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดนี้ คือ อาจมีการติดเชื้อที่อวัยวะภายใน ภาวะมีเลือดออกหรือเลือดอุดตัน เกิดความเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์เพราะช่องคลอดสั้นลงและแห้งขึ้นเนื่องจากการผ่าตัดเอาปากมดลูกออกไป แขนขาบวมจากภาวะบวมน้ำเหลือง (Lymphedema) หรือลำไส้อุดตันจากการเกิดรอยแผลหลังการผ่าตัด ส่วนผู้ที่ผ่าตัดเอารังไข่ออกไปก็อาจต้องเผชิญกับภาวะวัยทองก่อนกำหนด

การผ่าตัดอวัยวะในอุ้งเชิงกรานแบบกว้าง (Pelvic Exenteration)
ใช้ในรายที่มะเร็งลุกลามหรือกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำหลังจากการรักษาด้วยวิธีอื่นไปแล้ว โดยการผ่าตัดจะมี 2 ขั้นตอน คือ ขั้นแรกจะผ่าเอาอวัยวะอย่างปากมดลูก มดลูก รังไข่ ปีกมดลูก เนื้อเยื่อช่องคลอด กระเพาะปัสสาวะ และลำไส้ตรงที่มีการลุกลามของมะเร็งออกไป แล้วขั้นต่อมา คือ การผ่าตัดสร้างรู 2 รู บริเวณหน้าท้อง เพื่อให้เป็นทางผ่านของเสียทั้งปัสสาวะและอุจจาระออกจากร่างกายมากักเก็บอยู่ที่ถุงเก็บ (Urine Bags และ Colostomy Bags) ส่วนการผ่าตัดเนื้อเยื่อช่องคลอดออกไป แพทย์จะใช้เนื้อเยื่อจากส่วนอื่นของร่างกายมาทดแทน ทำให้ผู้ป่วยสามารถมีกิจกรรมทางเพศได้ตามปกติหลังการผ่าตัดและฟื้นตัวแล้ว

การบำบัดแบบรังสีรักษา (Radiotherapy)
เป็นการฉายรังสีในบริเวณที่เกิดมะเร็ง เพื่อควบคุมภาวะเลือดออกและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น สามารถรักษาร่วมกับการผ่าตัดหรือใช้รักษาร่วมกับเคมีบำบัดในผู้ป่วยระยะมะเร็งลุกลามได้ โดยรังสีรักษาที่ใช้ในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก มี 2 วิธี คือ การฉายรังสีภายนอก เป็นการใช้เครื่องฉายคลื่นรังสีพลังงานสูงไปยังบริเวณอุ้งเชิงกรานภายนอกเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งภายใน และการให้รังสีภายใน เป็นการสอดโลหะกัมมันตภาพรังสีเข้าไปทางช่องคลอดและวางไว้บริเวณที่มีเซลล์มะเร็ง

การทำรังสีรักษาต้องทำซ้ำ ๆ หลายสัปดาห์ เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี แต่การใช้รังสีก็เป็นการทำลายเซลล์เนื้อเยื่อที่ปกติในบริเวณใกล้เคียงที่ได้รับรังสีไปด้วย ดังนั้น การรักษาจึงส่งผลกระทบให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา เช่น อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ ท้องร่วง เลือดออกในช่องคลอด เจ็บปวดขณะปัสสาวะหรือขณะมีเพศสัมพันธ์ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือภาวะหมดประจำเดือนก่อนกำหนด หากไม่มีอวัยวะใดถูกทำลายอย่างถาวร อาการเหล่านี้ก็จะดีขึ้นและหายไปหลังสิ้นสุดการรักษา

เคมีบำบัดหรือยาเคมีบำบัด (Chemotherapy)
เป็นการใช้ยารักษาบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากมะเร็ง และป้องกันการลุกลามของเซลล์มะเร็ง ในรูปแบบยาเม็ดรับประทานหรือยาฉีด สามารถใช้ร่วมกับรังสีรักษาได้ และสามารถใช้ยารักษาเพียงชนิดเดียวหรือใช้ยาร่วมกันหลายชนิดเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งได้เช่นกัน ในกระบวนการรักษา ผู้ป่วยต้องผ่านการตรวจวินิจฉัยร่างกายและอาการป่วยให้แน่ชัด เพื่อการเลือกจ่ายยารักษาให้ตรงตามอาการที่ป่วย โดยผู้ป่วยที่รักษาด้วยเคมีบำบัดจะได้รับผลข้างเคียงจากการรักษา อย่างการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วง อ่อนล้า หมดแรง ไม่อยากอาหาร ผมร่วง เสี่ยงต่อการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนอื่นได้ง่าย

หากไม่มีโรคหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย หลังหยุดการรักษาระยะหนึ่ง อาการก็จะทุเลาลงและกลับมาเป็นปกติในที่สุดืหลังเข้ารับการรักษาจนหายดีและไม่มีเซลล์มะเร็งปรากฏอีก ผู้ป่วยยังคงต้องมาพบแพทย์และตรวจร่างกายอยู่เสมอ เพื่อตรวจหาสัญญาณและความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งซ้ำอีก โดยแพทย์จะนัดมาตรวจร่างกายเป็นระยะ

ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกที่อยู่ในระหว่างรับการรักษา หรือผู้ป่วยที่มะเร็งลุกลามแล้วไม่สามารถรักษาได้ ยังคงสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยการรักษาสุขภาพ สุขอนามัย อยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์อยู่เสมอ

การวินิจฉัย มะเร็งปากมดลูก
ภาวะแทรกซ้อนของ มะเร็งปากมดลูก