Illness name: เลือดออกในสมอง

Description:

เลือดออกในสมอง

ความหมาย เลือดออกในสมอง

Share:

เลือดออกในสมอง (Intracerebral Hemorrhage) จัดอยู่ในโรคหลอดเลือดสมองชนิดหนึ่ง เป็นภาวะที่หลอดเลือดในสมองหรือหลอดเลือดระหว่างกระดูกและสมองแตกออก ทำให้เลือดไปสะสมและกดอัดเนื้อเยื่อสมอง ถือเป็นภาวะที่อันตรายและร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ผู้ที่มีภาวะนี้จะต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

อาการเลือดออกในสมอง

อาการที่แสดงถึงภาวะเลือดออกในสมองเกิดขึ้นได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่มีเลือดออก ความรุนแรงและจำนวนเนื้อเยื่อที่ได้รับผลกระทบ ผู้ป่วยอาจแสดงอาการขึ้นทันทีหรือใช้เวลาหลายสัปดาห์แล้วจึงแย่ลงอย่างรุนแรง อาการบ่งบอกมีดังนี้

  • ปวดหัวรุนแรงขึ้นมาเฉียบพลัน
  • มีอาการชัก โดยไม่เคยมีประวัติโรคลมชักมาก่อน
  • คลื่นไส้หรืออาเจียนอย่างรุนแรง
  • แขนหรือขาอ่อนแรงเฉียบพลัน
  • หมดสติ ไม่รู้สึกตัว สับสน เพ้อ ไม่ตอบสนอง มีการตื่นตัวน้อยลง เซื่องซึม
  • สูญเสียการทรงตัวและการประสานงานกันของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
  • ตาพร่ามัว การตอบสนองของรูม่านตาไม่เท่ากัน
  • พูดสื่อสารไม่รู้เรื่องหรือไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพูด มีปัญหาในการเขียนหรืออ่านหนังสือ
  • กลืนลำบาก ลิ้นรับรสชาติผิดแปลกไปจากปกติ
  • เวียนศีรษะ
  • ความดันโลหิตสูงขึ้น
  • อาการปวดคล้ายเข็มทิ่มหรือชา
  • การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมัดเล็กมีปัญหา เช่น มีอาการมือสั่น

ภาวะเลือดออกในสมองนั้นร้ายแรงถึงชีวิต หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวควรต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสัญญาณอาการของการมีเลือดออกในสมองอาจไม่ปรากฏชัดเจนในทันที จึงต้องคอยสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจที่จะค่อย ๆ เกิดขึ้นตามลำดับ

ทั้งนี้ อาการของผู้ที่มีเลือดออกในสมองจากการได้รับบาดเจ็บหรือถูกตีที่ศีรษะ แรกเริ่มอาจยังสามารถพูดคุยได้เป็นปกติ แต่แล้วอยู่ ๆ อาจหมดสติไป เพื่อป้องกันอันตรายจากภาวะนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ศีรษะได้รับการกระแทก แม้ว่าจะยังรู้สึกปกติก็ควรให้บุคคลใกล้ชิดคอยจับตาว่ามีอาการน่าวิตกกังวลตามมาหรือไม่ เพราะการกระทบกระเทือนที่ศีรษะอาจทำให้ตัวผู้ป่วยสูญเสียความทรงจำก่อนหน้าและจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้

สาเหตุของเลือดออกในสมอง

ภาวะเลือดออกในสมองมีสาเหตุและปัจจัยการเกิดที่หลากหลาย โดยสาเหตุหลักที่พบได้บ่อยมีดังนี้

  • ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุดในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปีลงไป ทั้งนี้อาจเป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน การพลัดตก อุบัติเหตุทางกีฬา และการถูกทำร้าย เป็นต้น
  • ความดันโลหิตสูง ถือเป็นภาวะเรื้อรังที่ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอลงเรื่อย ๆ หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาอาจเป็นเหตุให้เกิดภาวะเลือดออกในสมองตามมา
  • หลอดเลือดโป่งพอง ผนังหลอดเลือดที่บวมและอ่อนแอลงจากภาวะนี้ สามารถแตกออกจนเกิดเลือดสะสมในสมอง และยังนำไปสู่โรคหลอดเลือดในสมองได้ด้วย
  • มีหลอดเลือดสมองผิดปกติหรือโรคหลอดเลือดสมองเอวีเอ็ม (Arteriovenous Malformation) ซึ่งเป็นความผิดปกติของกลุ่มหลอดเลือดในสมอง โดยเกิดความผิดปกติของรอยต่อระหว่างหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ และทำให้เกิดเลือดออกในสมองได้ง่าย มักมีตั้งแต่กำเนิดแต่อาจมาวินิจฉัยหรือพบในภายหลังเมื่อมีอาการผิดปกติ
  • เส้นเลือดในสมองมีสารอะไมลอยด์สะสม เป็นความผิดปกติชนิดหนึ่งของผนังหลอดเลือด มีปัจจัยมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นและความดันโลหิตสูง อาจเริ่มจากการมีเลือดออกเป็นจุดเล็ก ๆ หลายจุด ก่อนจะกลายเป็นบริเวณที่มีเลือดออกขนาดใหญ่
  • ภาวะเลือดออกผิดปกติ ได้แก่ โรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) และภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่จะส่งผลให้เลือดออกง่าย จนเกิดภาวะเลือดออกในสมองได้
  • โรคตับ ซึ่งเป็นโรคที่จะส่งผลให้เลือดออกมากขึ้น จึงเสี่ยงต่อภาวะนี้ยิ่งขึ้น
  • ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด การมีเนื้องอกที่มีเลือดออกในสมอง การใช้สารเสพติดอย่างโคเคนที่สามารถทำให้ความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรง

การวินิจฉัยเลือดออกในสมอง

โดยปกติผู้ป่วยที่มีอาการน่าสงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เช่น อ่อนแรง หมดสติ ชัก ปวดศีรษะรุนแรง แพทย์จะรีบให้รับการประเมินด้วยการภาพถ่ายสมองเพื่อดูว่ามีความเสียหายใด ๆ ที่สอดคล้องกับอาการที่เกิดขึ้นหรือไม่ โดยวิธีที่ดีที่สุดที่จะนำมาใช้วินิจฉัยเพื่อระบุตำแหน่งและขนาดของบริเวณที่มีเลือดออก ได้แก่

  • การทำ CT Scan เป็นวิธีที่นิยมใช้วินิจฉัยภาวะเลือดออกในสมองมากที่สุด ด้วยการใช้รังสีเอกซเรย์เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อถ่ายภาพโครงสร้างต่าง ๆ ในสมอง ในการวินิจฉัยนี้แพทย์จะให้ผู่ป่วยนอนลงบนโต๊ะแล้วเคลื่อนผู้ป่วยเข้าไปใต้อุปกรณ์ถ่ายรูปที่มีลักษณะคล้ายโดนัท
  • การทำ MRI Scan การถ่ายภาพทางคอมพิวเตอร์โดยใช้คลื่นวิทยุและแม่เหล็กขนาดใหญ่ ระหว่างการวินิจฉัยผู้ป่วยจะนอนลงแล้วถูกเคลื่อนย้ายไปใต้อุปกรณ์คล้ายท่อหรืออุโมงค์ แต่การทำ MRI Scan นี้นำมาใช้ไม่บ่อยเท่า CT Scan เนื่องจากต้องใช้เวลานานกว่า

นอกจากการวินิจฉัยข้างต้น แพทย์ยังอาจใช้การวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อระบุสาเหตุของภาวะเลือดออกในสมอง เช่น การเอกซเรย์หลอดเลือดด้วยการฉีดสีเข้าไปให้สามารถมองเห็นการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดแดงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การตรวจเลือดเพื่อดูความผิดปกติของเกล็ดเลือด การแข็งตัวของเลือด ระบบภูมิคุ้มกัน การอักเสบ และการเกิดลิ่มเลือดที่อาจเป็นปัจจัยของภาวะดังกล่าว รวมถึงบางกรณีที่อาจมีการเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อยืนยันว่ามีเลือดออกจริง ๆ ไม่ใช่โรคทางสมองชนิดอื่น

การรักษาเลือดออกในสมอง

การรักษาที่นำมาใช้กับภาวะเลือดออกในสมองขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่มีเลือดออก สาเหตุ และปริมาณของเลือดที่ออกมา ผู้ป่วยที่มีเลือดออกจุดเล็ก ๆ และไม่มีอาการใด ๆ อาจไม่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ที่อาการของผู้ป่วยจะแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป แพทย์อาจให้ยาลดอาการสมองบวม เพื่อช่วยลดความเสียหายของสมองจากภาวะเลือดออก และคอยเฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น คอยตรวจความดันในกะโหลกศีรษะ รวมทั้งทำ CT Scan สมองอีกหลายครั้ง

ส่วนผู้ป่วยที่มีเลือดออกในสมองเนื่องจากรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาวาร์ฟาริน อาจต้องรับการรักษาเพื่อทำให้ผลจากยาหายไป ไม่ให้เสี่ยงต่อการมีเลือดออกมากขึ้น ด้วยการใช้วิตามินเค หรือให้พลาสมาสดแช่แข็ง เป็นต้น

การผ่าตัด

ภาวะเลือดออกในสมองที่มีขนาดใหญ่หรือมีอาการรุนแรง ส่วนใหญ่จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้การผ่าตัดชนิดใดต่อไปนี้ก็ขึ้นอยู่กับภาวะเลือดออกในสมองนั้น ๆ

  • การผ่าตัดระบายของเหลว ในกรณีที่มีเลือดออกเฉพาะแห่งและมีลิ่มเลือดไม่มากเกินไป อาจใช้การเจาะรูผ่านกะโหลกศีรษะและใช้ท่อดูดระบายเลือดออกมา
  • การเปิดกะโหลกศีรษะ การผ่าตัดชนิดนี้มักใช้รักษาผู้ป่วยที่มีก้อนเลือดขนาดใหญ่ และมีอาการรุนแรง ซึ่งจำเป็นต้องนำก้อนเลือดขนาดใหญ่นี้ออกมาด้วยการเปิดกะโหลกศีรษะของผู้ป่วย

ทั้งนี้ ในระหว่างการผ่าตัด แพทย์อาจให้ยารักษาควบคู่ไปด้วย เช่น ยาขับปัสสาวะช่วยลดอาการบวมรอบ ๆ บริเวณที่มีเลือดออก ยาลดความดันโลหิต ยารักษาอาการวิตกกังวลเพื่อควบคุมระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ ยากันชัก รวมถึงยาบรรเทาอาการปวดด้วย

หลังจากการผ่าตัดเรียบร้อย ผู้ป่วยอาจต้องได้รับยาต้านชักไปจนถึง 1 ปี เพื่อป้องกันอาการชักที่อาจเกิดขึ้นหลังเนื้อเยื่อสมองได้รับบาดเจ็บ หรืออาจจำเป็นต้องรักษาด้วยยาชนิดนี้ในระยะยาว นอกจากอาการชักก็ยังมีภาวะอื่นที่สามารถเกิดขึ้นในช่วงระยะหนึ่งภายหลังจากการผ่าตัด ได้แก่ การสูญเสียความทรงจำ วิตกกังวล สมาธิสั้น ความสามารถในการเรียนรู้ลดลง ปวดศีรษะ ปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ ปัญหาการทรงตัว และอัมพาต

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวหลังการผ่าตัดมีความเป็นไปได้ที่จะใช้เวลานานหรือฟื้นตัวได้ไม่สมบูรณ์ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่มีเลือดออก ความเสียหายที่เกิดขึ้น อายุและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยอาจใช้เวลาพักฟื้นหลายเดือนถึงหลายปี ยังมีผู้ป่วยบางรายที่ผ่าตัดแล้วมีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทซึ่งอาจจำเป็นต้องมีพยาบาลดูแลที่บ้านและทำกายภาพบำบัด

ภาวะแทรกซ้อนของเลือดออกในสมอง

ผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกในสมองและได้รับการรักษาบางรายสามารถฟื้นตัวและหายดีได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็มีรายที่เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา เช่น อัมพาต ไม่สามารถหายใจได้เอง สูญเสียการทำงานของสมอง เกิดโรคหลอดเลือดในสมอง หรือได้รับผลข้างเคียงจากยาหรือกระบวนการรักษา และในกรณีที่มีเลือดออกในสมองมากยังมีโอกาสที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิตลงอย่างรวดเร็วแม้จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็ตาม

การป้องกันเลือดออกในสมอง

ภาวะเลือดออกในสมองส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากปัจจัยที่แต่ละคนสามารถป้องกันได้ เพียงลดพฤติกรรมเสี่ยงข้อต่าง ๆ ต่อไปนี้

  • ป้องกันอันตรายจากการได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะด้วยขับขี่ยานพาหนะอย่างระมัดระวัง คาดเข็มขัดนิรภัย ใส่หมวกกันน็อคทุกครั้ง และควรสวมใส่หมวกนิรภัยขณะเล่นกีฬาที่เสี่ยงต่อการกระแทกของศีรษะ ส่วนบ้านที่มีเด็กควรจัดระเบียบสิ่งของและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในลักษณะที่ปลอดภัยต่อเด็ก
  • รักษาภาวะความดันโลหิตสูง มีผู้ป่วยภาวะเลือดออกในสมองจำนวนมากที่มีประวัติความดันโลหิตสูง ซึ่งวิธีควบคุมความดันโลหิตที่ทำได้ด้วยตนเองก็คือการควบคุมพฤติกรรมการใช้ชีวิต ได้แก่ การรับประทานอาหารมีประโยชน์ ออกกำลังกาย และใช้ยารักษาภาวะความดันโลหิตสูง
  • หากป่วยเป็นโรคหัวใจ ควรรับการรักษา ส่วนผู้ป่วยเบาหวานก็ควรควบคุมโรคอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน
  • ไม่ใช้ยาเสพติด ยาเสพติดเป็นอีกปัจจัยที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีเลือดออกในสมองได้
  • ไม่สูบบุหรี่
  • รับการรักษาภาวะผิดปกติที่อาจนำไปสู่ภาวะเลือดออกในสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง
  • ระมัดระวังในการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดอย่างคูมาดิน (Coumadin) หรือเรียกอีกชื่อว่าวาร์ฟาริน (Warfarin) โดยผู้ใช้ยาควรตรวจระดับเลือดเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่ายังอยู่ในขั้นปลอดภัย และหากมีการใช้ยาชนิดอื่นร่วมด้วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบเสมอ