Illness name: ทางเดินปัสสาวะอักเสบ 2
Description: ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เป็นภาวะที่เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หากเกิดบริเวณกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ อาจทำให้รู้สึกแสบขณะปัสสาวะ ปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะมีสีขุ่นหรือมีเลือดปน ปวดท้องน้อยหรือบริเวณหัวหน่าว และปัสสาวะอาจมีกลิ่นเหม็นกว่าปกติ แต่หากเกิดการอักเสบบริเวณไตและท่อไต ผู้ป่วยอาจมีไข้สูง หนาวสั่น และมีอาการปวดเอวร่วมด้วย ระบบทางเดินปัสสาวะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ทางเดินปัสสาวะตอนบน ซึ่งเป็นส่วนของไตและท่อไต และทางเดินปัสสาวะตอนล่าง ซึ่งเป็นส่วนของกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ โดยอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะที่มักเกิดการอักเสบ คือ กระเพาะปัสสาวะ และในทางการแพทย์มักเรียกภาวะนี้ว่า โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเป็นปัญหาที่พบบ่อยทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก ซึ่งมักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์ เพราะด้วยลักษณะทางกายภาพของเพศหญิงที่มีท่อปัสสาวะสั้นกว่าเพศชาย ทำให้มีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคและติดเชื้อได้ง่ายกว่า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะติดเชื้อโรคได้ง่ายจากช่องคลอด อุจจาระ และจากการมีเพศสัมพันธ์ ทางเดินปัสสาวะอักเสบทั้งส่วนบนและส่วนล่างอาจทำให้เกิดอาการแตกต่างกันเล็กน้อย โดยผู้ป่วยทางเดินปัสสาวะส่วนบนอักเสบอาจมีไข้ คลื่นไส้ มีอาการปวดเอว หรือปวดหลังส่วนบนร่วมด้วย ส่วนอาการป่วยอื่น ๆ อาจมีลักษณะแยกตามประเภทได้ ดังนี้ ส่วนผู้ที่เป็นโรคกรวยไตอักเสบนั้น นอกจากจะมีอาการเหมือนกับที่พบในทางเดินปัสสาวะส่วนบนอักเสบแล้ว ผู้ป่วยจะมีไข้สูง หนาวสั่น และมีอาการปวดเอวร่วมด้วย สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบในผู้หญิง ได้แก่ แม้ผู้หญิงจะเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ แต่โรคนี้ก็มีโอกาสเกิดกับผู้ชายได้เช่นกัน โดยปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบในผู้ชาย ได้แก่ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบทั้งในผู้หญิงและผู้ชายได้ เช่น ในกรณีที่ไม่ได้มีอาการซับซ้อน แพทย์จะสามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากอาการที่เกิดขึ้นทั้งหมดของผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ โดยที่ไม่ต้องรอการยืนยันเพิ่มเติมจากห้องวิจัย หากแพทย์วินัจฉัยว่ามีอาการของโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบแน่นนอนแล้ว แพทย์จะให้เริ่มการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะโดยไม่ต้องรอผลตรวจปัสสาวะ แต่หากการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไม่เป็นผลและมีการกลับมาเป็นซ้ำในทันที และมีอาการแทรกซ้อนจากปัจจัยอื่น ๆ หรือในบางรายที่มีการติดเชื้อที่ไต แพทย์อาจตรวจหาสาเหตุอื่น ดังนี้ ในกรณีที่มีความซับซ้อน หรือยังหาข้อสรุปไม่ได้ ผู้ป่วยต้องรอคำยืนยันการวินิจฉัยโรคโดยการตรวจปัสสาวะ (Urinalysis หรือ UA) เช่น การวิเคราะห์จากค่าไนไตรท์ (Nitrite) หรือจากเม็ดเลือดขาว (Leukocytes) ด้วยการเก็บปัสสาวะไปตรวจและอ่านค่าต่าง ๆ จากกล้องจุลทรรศน์ ในบางรายอาจต้องเก็บปัสสาวะโดยการใส่สายสวนปัสสาวะเพื่อให้ได้ปัสสาวะที่มีการปนเปื้อนน้อยที่สุด อีกวิธีของการหาสาเหตุของการติดเชื้อ คือการเพาะเชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะ (Urine Culture) ช่วยให้สามารถบอกได้ว่าการติดเชื้อเกิดจากเชื้อชนิดใด โดยจะต้องรอผลอย่างน้อยประมาณ 48 ชั่วโมง มักใช้ในกรณีที่รักษาด้วยยาปฏิชีวนะครั้งแรกแล้วไม่ดีขึ้น หรือทำในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคไต เป็นต้น เมื่อผลการวินิจฉัยชี้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ โดยทั่วไปแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการรักษาสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งปริมาณยา ชนิดของยา และระยะเวลาในการใช้ยาที่แพทย์แนะนำ จะขึ้นอยู่กับลักษณะของอาการป่วย ปัจจัยสุขภาพของผู้ป่วย และสายพันธุ์ของแบคทีเรียที่พบในปัสสาวะเป็นหลัก ดังนี้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เพราะอาจช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ และแม้อาการป่วยจะดีขึ้นจนหายเป็นปกติแล้ว แต่ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์แนะนำจนครบกำหนด ภาวะแทรกซ้อนของโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบที่พบบ่อย ได้แก่ หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว ผู้ป่วยมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน แต่ในรายที่ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบสามารถนำไปสู่โรคแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ซึ่งภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ มีดังนี้ การป้องกันโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบทำได้ไม่ยาก เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม ดังนี้ความหมาย ทางเดินปัสสาวะอักเสบ (Urinary Tract Infection)
อาการของโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
อาการของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะส่วนบน
อาการของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง
สาเหตุของโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
การติดเชื้อแบคทีเรีย
แม้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นตัวการก่อให้เกิดทางเดินปัสสาวะอักเสบจะมีอยู่หลายชนิด แต่ผู้ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่มักติดเชื้ออีโคไล (E.Coli) เคล็บซิลลา (Klebsiella) ซูโดโมแนส (Pseudomonas) และเอนเทอโรแบกเตอร์ (Enterobacter) ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้มักแพร่มาจากทางเดินอาหารและช่องคลอด โดยปนเปื้อนมากับอุจจาระหรือในขณะมีเพศสัมพันธ์การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน
การขาดฮอร์โมนชนิดนี้ทำให้แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของทางเดินปัสสาวะอักเสบเติบโตได้ง่ายในช่องคลอดหรือท่อปัสสาวะ โดยเฉพาะผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) อย่างโรคหนองในหรือเริม มีโอกาสทำให้เชื้อแบคทีเรียหลุดเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย ทำให้เกิดอาการอักเสบที่เรียกว่า กระเพาะปัสสาวะอักเสบจากฮันนีมูน (Honeymoon Cystitis)การตั้งครรภ์
ขณะตั้งครรภ์ ทางเดินปัสสาวะจะขยายออก ทำให้เชื้อโรคมีโอกาสเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะเพิ่มขึ้น และอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้
การวินิจฉัยโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
การรักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบทั่วไป
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีไข้ ไตยังทำงานเป็นปกติ รวมถึงไม่มีโรคประจำตัว แพทย์มักให้รับประทานยาปฏิชีวนะ อย่างยาฟลูออโรควิโนโลน ยาไตรเมโทพริม ยาดอกซีไซคลิน ยาอะซิโธรมัยซิน ยาซัลฟาเมธ็อกซาโซล หรือยาเซฟาเลกซินและสังเกตอาการประมาณ 3-5 วัน ส่วนผู้ป่วยชายที่มีการอักเสบของต่อมลูกหมากร่วมด้วย แพทย์อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะนานขึ้น ซึ่งอาการป่วยมักค่อย ๆ ดีขึ้นหลังจากได้รับยา แต่หากอาการยังคงอยู่ 2-3 วัน โดยที่ไม่ดีขึ้นเลย ควรรีบไปพบแพทย์ในทันที ทั้งนี้ แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยบางรายใช้ยาแก้ปวดควบคู่ไปด้วยโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบแบบรุนแรงหรือเรื้อรัง
แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบเรื้อรังรับประทานยาปฏิชีวนะที่มีปริมาณยาต่ำติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน รวมถึงรับประทานยาปฏิชีวนะก่อนมีเพศสัมพันธ์ในกรณีที่การอักเสบเกิดจากการติดเชื้อในระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์ ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง มีไข้สูง หรือมีอาการปวดเอวอย่างมาก อาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และให้ยาปฏิชีวนะผ่านทางเส้นเลือดภาวะแทรกซ้อนของโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
การป้องกันโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ