Illness name: จมน้ำ
Description: จมน้ำ (Drowning / Submersion Injury) คือ ภาวะความบกพร่องระบบทางเดินหายใจอันเกิดจากการจมอยู่ใต้น้ำ ก่อให้เกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง การจมน้ำยังมีระดับของการเกิดภาวะดังกล่าวในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุจมน้ำจะหายใจสั้น ๆ จากการสำลักน้ำ กลั้นหายใจ หรือหยุดหายใจ และอาจเกิดกล่องเสียงหดเกร็งร่วมด้วย จนนำไปสู่ภาวะขาดออกซิเจนและเลือดเป็นกรดได้ ผู้ที่จมน้ำอาจจะหมดสติและอาจเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น โดยผู้ที่จมน้ำร้อยละ 85 ระบบทางเดินหายใจจะหยุดทำงานและรับน้ำเข้าไปในปอด ภาวะดังกล่าวเรียกว่า Wet Drowning ส่วนผู้ที่กล่องเสียงหดเกร็งโดยที่น้ำไม่เข้าปอดเรียกว่า Dry Drowning โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ประสบภาวะจมน้ำจะเกิดอาการที่สังเกตได้ ดังนี้ การจมน้ำขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ได้แก่ ลักษณะสถานที่ที่เล่นน้ำ ปัญหาสุขภาพและการใช้ยา และ อุณหภูมิน้ำ ดังนี้ ผู้ใหญ่และเด็กจะประสบอุบัติเหตุจมน้ำในที่ที่เล่นน้ำแตกต่างกัน โดยทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี มักจมน้ำขณะอาบน้ำในอ่างอาบน้ำสำหรับเด็ก ส่วนเด็กเล็กอายุ 1–5 ปี มักจมน้ำในสระว่ายน้ำ และผู้ใหญ่มักเสี่ยงจมน้ำเมื่อเล่นกีฬาหรือกิจกรรมผาดโผนทางน้ำ หรือเล่นน้ำในสระว่ายน้ำที่ไม่ได้มาตรฐาน ลำคลอง หรือแม่น้ำ อาการป่วยของโรคต่าง ๆ ที่กำเริบขึ้นขณะเล่นน้ำส่งผลให้ผู้ป่วยเสี่ยงจมน้ำได้ เช่น โรคลมชัก หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหายใจเร็ว ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะตัวเย็นเกิน รวมทั้งการใช้สารเสพติดและแอลกอฮอล์ โดยทั่วไปแล้ว การว่ายน้ำหรือเล่นน้ำในน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส เสี่ยงทำให้เกิดภาวะตัวเย็นเกิน ส่งผลให้ว่ายน้ำไม่ได้และจมน้ำ หากพบเห็นผู้ที่จมน้ำในน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส ต้องรีบช่วยขึ้นมาภายใน 4 นาที เพื่อไม่ให้เสียชีวิตจากการความเย็นของน้ำ ทั้งนี้ การเกิดภาวะตัวเย็นยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น อายุ ไขมันในร่างกาย หรือสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้เกิดภาวะดังกล่าว ผู้ที่พบเห็นคนจมน้ำ ควรรีบเข้าช่วยเหลือ รวมทั้งสังเกตว่าเกิดอาการผิดปกติอื่น ๆ หรือไม่ หากพบต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาต่อไป โดยแพทย์จะบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับการจมน้ำของผู้ป่วย ได้แก่ ระยะเวลาที่จมน้ำ ชนิดและอุณหภูมิของน้ำ เวลาที่ใช้ในการช่วยเหลือฟื้นคืนชีพหรือซีพีอาร์ ช่วงเวลาที่เริ่มหายใจได้เอง ช่วงเวลาที่หัวใจกลับไปสูบฉีดเลือด การอาเจียน รวมทั้งการกระทบกระเทือนหรือปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ แพทย์จะตรวจอาการต่าง ๆ เพื่อวินิจฉัยผู้ป่วย ได้แก่ อุณหภูมิร่างกาย ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด จังหวะการเต้นของหัวใจ ลักษณะการหายใจ อาการปอดบวม การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะหรือคอ การได้รับบาดเจ็บบริเวณทรวงอกหรือภายในช่องท้อง (ในกรณีจมน้ำจากการตกจากที่สูง) การทำงานของระบบประสาท โดยแพทย์จะตรวจด้วยวิธีต่อไปนี้ จมน้ำเป็นอุบัติเหตุหรือสภาวะที่เกิดขึ้นกะทันหัน การรักษาผู้ที่ประสบภาวะนี้จึงแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ วิธีช่วยเหลือผู้ที่จมน้ำสำหรับบุคคลทั่วไปซึ่งเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น ณ ที่เกิดเหตุ และวิธีรักษาผู้ป่วยด้วยเทคนิคทางการแพทย์เมื่อผู้ป่วยมาถึงสถานพยาบาล ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ หากพบเห็นผู้ที่จมน้ำ ควรรีบเข้าช่วยเหลือทันที โดยผู้ที่เข้าช่วยเหลือควรรู้วิธีช่วยคนจมน้ำที่ถูกต้องและปลอดภัย ดังนี้ เมื่อนำตัวผู้ที่จมน้ำส่งโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาแล้ว แพทย์จะช่วยเหลือผู้ป่วยโดยใส่ท่อช่วยหายใจในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้สติ หรือสังเกตอาการผู้ป่วยประมาณ 6 ชั่วโมงในกรณีที่ผู้ป่วยได้สติ รวมทั้งรักษาอาการป่วยอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ภาวะตัวเย็นเกิน โรคลมชัก ภาวะเลือดในร่างกายต่ำเกินไป และความดันโลหิตต่ำ ผู้ป่วยที่มีไข้หรือจมน้ำในน้ำปนเปื้อน อาจได้รับยาปฏิชีวนะร่วมด้วย ผู้ที่จมน้ำเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้ โดยอาจเกิดปัญหาสุขภาพต่อไปนี้ สระว่ายน้ำควรมีอุปกรณ์สำหรับช่วยเหลือคนจมน้ำอยู่ข้างสระ เพื่อช่วยเหลือได้ทันท่วงทีหากเกิดเหตุการณ์จมน้ำขึ้น นอกจากนี้ ทุกคนควรสวมเสื้อชูชีพหรืออุปกรณ์สำหรับลอยตัวในน้ำทุกครั้งที่ไปเล่นน้ำหรือต้องขึ้นเรือ วิธีป้องกันการจมน้ำสำหรับตนเองและเด็กเล็กนั้นทำได้หลายวิธี โดยแบ่งออกเป็น วิธีป้องกันการจมน้ำสำหรับบุคคลทั่วไป และวิธีป้องกันการจมน้ำสำหรับเด็ก ดังนี้ความหมาย จมน้ำ
อาการจมน้ำ
สาเหตุของการจมน้ำ
ลักษณะสถานที่ที่เล่นน้ำ
ปัญหาสุขภาพและการใช้ยา
อุณหภูมิน้ำ
การวินิจฉัยการจมน้ำ
การรักษาภาวะจมน้ำ
วิธีช่วยเหลือผู้ที่จมน้ำสำหรับบุคคลทั่วไป
วิธีรักษาผู้ป่วยด้วยเทคนิคทางการแพทย์
ภาวะแทรกซ้อนจากการจมน้ำ
การป้องกันการจมน้ำ
วิธีป้องกันการจมน้ำสำหรับบุคคลทั่วไป
วิธีป้องกันการจมน้ำสำหรับเด็ก