Illness name: ภูมิแพ้อากาศ
Description: ภูมิแพ้อากาศ หรือจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) คือ การอักเสบของเนื้อเยื่อจมูกเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ฝุ่นละออง ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ หญ้า แมลงสาบ รังแคสัตว์ ควันบุหรี่ เป็นต้น ซึ่งมักทำให้ผู้ป่วยจาม คัดจมูก คันจมูก น้ำมูกไหล และเจ็บคอ แม้โรคนี้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่เกิดร่วมกับหอบหืดและอาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) แต่อาจทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตแย่ลงได้ โดยในปี 2556 องค์กรโรคภูมิแพ้โลกพบว่าจากประชากรโลกทั้งหมดมีผู้ป่วยเป็นภูมิแพ้อากาศ 10-30 เปอร์เซ็นต์ และอาจมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยปกติ ผู้ป่วยมักจาม คัดจมูก คันจมูก และน้ำมูกไหลทันทีเมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ แต่อาการบางอย่าง เช่น ปวดหัวและอ่อนเพลีย มักเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยสัมผัสกับสารดังกล่าวเป็นเวลานาน หรือในปริมาณมากเท่านั้น และอาการป่วยต่าง ๆ จากภูมิแพ้อากาศจะไม่รุนแรง ยกเว้นผู้ป่วยบางรายที่อาจมีอาการแพ้รุนแรงร่วมด้วย ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงต้องไปพบแพทย์ทันที หากมีสัญญาณอาการแพ้รุนแรง เช่น กระสับกระส่าย สับสน ผิวหนังเป็นผื่นคัน หน้าบวม ชีพจรเต้นเบา หายใจลำบากหรือหอบ ปากและลำคอบวม กลืนลำบาก พูดไม่ชัด และช็อก ภูมิแพ้อากาศเกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อจมูก หู ตา ไซนัส และลำคอ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้เพื่อกำจัดสารก่อภูมิแพ้ในอากาศออกจากร่างกาย โรคนี้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ภูมิแพ้อากาศที่เป็นเฉพาะฤดูกาล (Seasonal Allergic Rhinitis) ที่ทำให้สารก่อภูมิแพ้เกิดขึ้นหรือกระจายในอากาศเพิ่มขึ้นในบางฤดูกาล เช่น ภูมิแพ้เกสรดอกไม้ ส่วนภูมิแพ้อากาศที่เป็นตลอดทั้งปี (Perennial Allergic Rhinitis) ผู้ป่วยจะได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายได้จากสภาพแวดล้อมทั่วไป เช่น ภูมิแพ้ไรฝุ่น รังแคสัตว์ เชื้อรา หรือแมลงสาบ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีคนในครอบครัวเคยเป็นภูมิแพ้ เป็นหอบหืด หรือผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง จะเสี่ยงเป็นโรคนี้สูงขึ้นด้วย รวมทั้งผู้ที่อยู่ในวัยเด็กอาจเสี่ยงต่อภูมิแพ้อากาศสูงกว่าวัยผู้ใหญ่ และเด็กผู้ชายเสี่ยงต่อโรคนี้สูงกว่าเด็กผู้หญิง โดยอายุเฉลี่ยที่เริ่มเป็นโรคนี้ คือ 8-11 ปี ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจกระตุ้นหรือทำให้อาการของโรคดังกล่าวแย่ลง ได้แก่ แพทย์มักวินิจฉัยผู้ป่วยภูมิแพ้อากาศจากประวัติทางการแพทย์และการตรวจร่างกาย โดยอาจตรวจเลือดและวิเคราะห์ภาพถ่ายรังสีเพิ่มเติมในบางราย โดยมีตัวอย่างการตรวจวินิจฉัย ดังนี้ ผู้ป่วยอาจมีรอยย่นในแนวนอนบริเวณกลางจมูกจากการถูจมูกซ้ำ ๆ มีน้ำมูก และผนังกลางจมูกเอียงหรือทะลุ ซึ่งอาจเกิดจากภูมิแพ้อากาศเรื้อรังหรือสาเหตุอื่น ๆ ผู้ป่วยอาจมีเยื่อแก้วหูผิดปกติด้านการหดตัวหรือการยืดหยุ่น มีเยื่อบุตาบวม แดง มีน้ำตามาก มีรอยย่นที่ใต้หนังตาล่าง และรอยคล้ำใต้ตา ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือด หรืออาการคัดจมูก อาจทดสอบภูมิแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้บนผิวหนัง และตรวจเลือดวัดปริมาณเม็ดเลือดขาวอีโอซิโนฟิลและอิมมูโนโกลบูลิน อี (Immunoglobulin E) ซึ่งเป็นสารภูมิต้านทานที่ตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ในเลือด โดยทั่วไป ผู้ป่วยโรคนี้สามารถดูแลตนเองที่บ้านได้ และควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรค ตรวจระดับความรุนแรงของอาการ ตรวจโรคที่อาจเกิดร่วมกันอย่างหอบหืด รวมถึงรับยารักษาตามอาการที่เกิดขึ้น ดังนี้ การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และสารระคายเคืองอันเป็นสาเหตุหลักที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการรักษา โดยผู้ป่วยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีการฟุ้งกระจายของเกสรดอกไม้โดยเฉพาะผู้ที่แพ้เกสรดอกไม้ หรืออยู่ให้ห่างจากเขตก่อสร้างหรือบริเวณที่มีฝุ่นสะสมในปริมาณมาก เป็นต้น การกำจัดสารก่อภูมิแพ้นั้นสามารถทำได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับประเภทของสารก่อภูมิแพ้ ดังนี้ นอกจากนี้ ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้อากาศอาจใช้สเปรย์ปรับอากาศที่มีคุณสมบัติช่วยกำจัดเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศโดยเฉพาะไรฝุ่น อย่างไรก็ตาม ฤทธิ์ช่วยกำจัดเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้ของสเปรย์ปรับอากาศนั้นขึ้นอยู่กับส่วนผสมของสเปรย์แต่ละยี่ห้อ โดยอาจเลือกสเปรย์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติและมีงานวิจัยน่าเชื่อถือรับรองถึงคุณสมบัติดังกล่าว อย่างยูคาลิปตัสและทีทรีออยล์ ก็อาจช่วยให้ผู้ป่วยได้รับผลลัพธ์ดีมากกว่าการใช้สเปรย์ปรับอากาศธรรมดาทั่วไป โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งนำตุ๊กตาผ้าที่โดนไรฝุ่นเกาะ 12 ชิ้น ไปซักทำความสะอาดพร้อมใส่น้ำมันยูคาลิปตัสความเข้มข้ม 0.2-0.4% ลงไป ผลปรากฏว่าไรฝุ่นบนตัวตุ๊กตามีปริมาณลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการศึกษาประสิทธิภาพของทีทรีออยล์ด้านการต้านเชื้อแบคทีเรียที่เผยให้เห็นว่า สารสกัดชนิดนี้อาจช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย แต่นี่เป็นเพียงงานวิจัยในห้องปฏิบัติการและมีปัจจัยอื่นที่อาจทำให้ผลลัพธ์คลาดเคลื่อนได้ จึงควรรองานวิจัยเพิ่มเติมในมนุษย์เพื่อยืนยันประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้ให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม สเปรย์ปรับอากาศที่มีส่วนผสมจากธรรมชาตินั้นมักปลอดภัยต่อเด็กและทุกคนในครอบครัว ทั้งยังให้กลิ่นหอมช่วยให้หายใจโล่งขึ้น และสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาเภสัชกรก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์ทุกครั้ง ขนและรังแคของสัตว์เลี้ยง การหายใจหรือการสัมผัสเศษขนและรังแคของสัตว์เลี้ยงที่อาศัยร่วมกันภายในบ้าน เช่น แมว สุนัข กระต่าย และนกอาจไปกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ได้ ผู้ป่วยจึงควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์ที่มีขนภายในบ้าน ละอองเกสรดอกไม้ โดยปกติ ละอองเกสรของดอกไม้ หญ้า และวัชพืชจะมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา จึงสามารถฟุ้งกระจายได้ไกลตามทิศทางลม เพื่อความปลอดภัย ผู้ป่วยควรปิดหน้าต่างบ้านตลอดช่วงที่มีการฟุ้งกระจายของละอองเกสรดอกไม้ หากต้องออกไปนอกบ้านก็ควรสวมหน้ากากอนามัยด้วยทุกครั้ง ยาที่ใช้ในการรักษาภูมิแพ้อากาศมีด้วยกันหลายชนิด เช่น การฉีดวัคซีนภูมิแพ้เป็นวิธีรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัด โดยแพทย์จะฉีดสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย หรือให้ผู้ป่วยอมยาที่ผสมสารก่อภูมิแพ้ใต้ลิ้นหลาย ๆ ครั้ง โดยเริ่มในปริมาณที่เจือจางที่สุด แล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณยาขึ้นทีละน้อยจนกว่าผู้ป่วยจะมีอาการแพ้ที่ทุเลาลงหรือหายขาดโดยใช้เวลารักษาประมาณ 3-5 ปี ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาประเภทนี้ในผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีอื่นข้างต้นแล้วไม่ได้ผล และต้องระมัดระวังอาการแพ้รุนแรงที่อาจเกิดขึ้นด้วย ผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อนรับการรักษานี้ ภูมิแพ้อากาศอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น หอบหืดกำเริบหรือมีอาการแย่ลง เยื่อบุตาอักเสบ ไซนัสอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง หูชั้นกลางอักเสบหรือท่อยูสเตเชียนซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลางกับโพรงหลังจมูกทำงานผิดปกติ ปวดหัวบ่อย ๆ ฟันสบลึกจากการหายใจทางปากเป็นเวลานาน รวมไปถึงมีปัญหาเกี่ยวกับการนอน อย่างนอนหลับยาก ตื่นกลางดึก หรือหยุดหายใจขณะนอนหลับ เป็นต้น การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ในอากาศเป็นการป้องกันภูมิแพ้อากาศที่ดีที่สุด ซึ่งผู้ป่วยภูมิแพ้อากาศควรดูตัวเองด้วยวิธีดังต่อไปนี้ความหมาย ภูมิแพ้อากาศ
อาการของภูมิแพ้อากาศ
สาเหตุของภูมิแพ้อากาศ
การวินิจฉัยภูมิแพ้อากาศ
1. การวินิจฉัยด้วยการตรวจจมูก
2. การตรวจหู ตา และคอ
3. การวินิจฉัยภูมิแพ้อากาศในห้องปฏิบัติการ
การรักษาภูมิแพ้อากาศ
1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้
2. กำจัดสารก่อภูมิแพ้
3. การใช้ยาบรรเทาภูมิแพ้อากาศ
4. การฉีดวัคซีนภูมิแพ้
ภาวะแทรกซ้อนของภูมิแพ้อากาศ
วิธีป้องกันภูมิแพ้อากาศด้วยตัวยเอง